วันอาทิตย์ที่ 6 ธันวาคม พ.ศ. 2558

ทำงานกับคอมพิวเตอร์อย่างมีความสุข

        ชีวิตในปัจจุบัน ทำให้จำเป็นต้องทำงานกับคอมพิวเตอร์เป็นเวลานาน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการเรียน หรือการพักผ่อนหย่อนใจในโลกไซเบอร์ แต่ถ้าเราทำงานกับคอมพิวเตอร์อย่างไม่ถูกสุขลักษณะ จะก่อให้เกิดปัญหาในร่างกาย เช่น ภาวะปวดกล้ามเนื้อเรื้อรัง เอ็นอักเสบ หรือวุ้นในตาเสื่อม เป็นต้น ลองนำ 10 วิธี ของเราไปปฏิบัติ แล้วคุณจะสามารถทำงานกับคอมพิวเตอร์ได้อย่างมีความสุข

        1. ควรตรวจสายตาก่อนทำงานที่เกี่ยวข้องกับคอมพิวเตอร์ และตรวจวัดสายตาซ้ำเป็นระยะๆ
        2. ผู้ที่แพ้แสงสว่าง ควรได้รับคำแนะนำจากแพทย์ก่อนปฏิบัติงานร่วมกับคอมพิวเตอร์
        3. ควรเปลี่ยนอิริยาบถ หรือยืดกล้ามเนื้อเป็นระยะๆ ไม่ควรนั่งทำงานกับคอมพิวเตอร์อย่างต่อเนื่องเป็นระยะเวลานานเกินไป
        4. จอจัดแสงที่จอแสดงภาพ (Monitor) ควรเหมาะสม คือไม่ควรมีแสงกระพริบ หรือวูบวาบ และควรมีความสว่างหรือความเข้มของแสงที่เหมาะสม คือ ควรปรับให้ ไม่สว่างหรือมืดเกินไป
        5. ระยะจากสายตามายังจอคอมพิวเตอร์ ควรมีมุมก้มประมาณ 20 องศา ระยะห่าง 18-22 นิ้ว
        6. การวางตำแหน่งมือที่แป้นพิมพ์ ข้อศอก ควรตั้งฉากกับลำตัว(ประมาณ 90-120 องศา) เพื่อลดแรงยกที่หัวไหล่
        7. การจับ Mouse ไม่ควรให้ข้อมืออยู่ในตำแหน่งที่บิดเอียงออกทางด้านนอกลำตัว ควรจับในท่าที่ข้อมือเอียงหรือบิดน้อยที่สุด
        8. เก้าอี้ ควรสามารถปรับระดับสูงต่ำ ตามสรีระของผู้ใช้งานได้ และต้องมีพนักพิงที่ปรับระดับได้ และที่พักแขน ส่วนเบาะรองนั่งควรมีลักษณะโค้งลาดลง ไม่เป็นสันคม และไม่กดที่ใต้ตำแหน่งของเข่า
        9. จอแสดงภาพต้องสามารถปรับมุมก้มเงย หรือเอียงได้
        10. หากปวดกล้ามเนื้อหรือเอ็นเรื้อรัง ควรปรึกษาแพทย์

***ที่สำคัญ การทำงานทุกการทำงานต่อเนื่องกัน 2 ชั่วโมง ควรมีการหยุดพักประมาณ 10 นาที ***

ขอบคุณหนังสือ วิทยาการจัดสภาพงานเพื่อเพิ่มผลผลิตและความปลอดภัย และหนังสือสุขอนามัยของผู้ทำงานกับคอมพิวเตอร์


ประโยชน์ของพืช GMOs และ โทษของพืช GMOs

ประโยชน์ของพืช GMOs       
        GMOs คือผลผลิตจากความก้าวหน้าของวิทยาการทางด้านเทคโนโลยีชีวภาพและชีววิทยาระดับโมเลกุล (molecular biology) โดยเฉพาะพันธุวิศวกรรมศาสตร์ ที่ได้พัฒนาอย่างรวดเร็วจนถึงระดับสูงมาก สิ่งที่เป็นแรงผลักดันให้นักวิทยาศาสตร์และสถาบันวิจัยทั่วโลก ทุ่มเทพลังความคิดและทุนวิจัยจำนวนมหาศาลเพื่อศาสตร์นี้ คือ ความมุ่งหมายที่จะพัฒนายกระดับคุณภาพชีวิตของประชากรโลก ทั้งทางด้านโภชนาการ การแพทย์ และสาธารณสุข

        ความสำเร็จแห่งการพัฒนาศาสตร์ดังกล่าว มีรูปธรรมคือการยกระดับคุณภาพอาหาร ยา และเทคโนโลยีทางการแพทย์ ดังที่เราได้รับผลประโยชน์อยุ่ทุกวันนี้ และในภาวะที่จำนวนประชากรโลกเพิ่ม มากขึ้นทุกวัน ในขณะที่พื้นที่การผลิตลดลง พันธุวิศวกรรมเป็นเทคโนโลยีที่ดีที่สุดอันหนึ่ง ที่จะช่วยแก้ปัญหา การขาดแคลนอาหารและยาที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้นี้ เนื่องจากประสิทธิภาพของพันธุวิศวกรรมเป็นที่ยอมรับว่า สามารถช่วยเพิ่มอัตราผลผลิตต่อพื้นที่สูงขึ้นมากกว่าการผลิตในรูปแบบดั้งเดิม ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือ การเกษตรในสหรัฐอเมริกา และด้วยการที่พันธุวิศวกรรม สามารถยกระดับคุณภาพชีวิตได้ดังกล่าว จึงมีการกล่าวกันว่า พันธุวิศวกรรมคือการปฏิวัติครั้งใหญ่ในด้านการเกษตร และการแพทย์ ที่เรียกว่า
genomic revolution

        GMOs ที่ได้รับการพัฒนาจนเสร็จสมบูรณ์แล้ว และกำลังอยู่ในระหว่างการพัฒนา ได้นำมาใช้ให้เกิดประโยชน์ ในหลายด้าน ได้แก่

ประโยชน์ต่อเกษตรกร
        1. ทำให้เกิดพืชสายพันธุ์ใหม่ที่มีความทนทานต่อสภาพแวดล้อม เช่น ทนต่อศัตรูพืช หรือมีความสามารถในการ ป้องกันตนเองจากศัตรูพืช เช่น เชื้อไวรัส เชื้อรา แบคทีเรีย แมลงศัตรูพืช หรือแม้แต่ยาฆ่าแมลง และยาปราบวัชพืช หรือในบางกรณีอาจเป็นพืชที่ทนแล้ง ทนดินเค็ม ดินเปรี้ยว คุณสมบัติ เช่นนี้เป็นประโยชน์ ต่อเกษตรกร เราเรียกลักษณะเช่นนี้ว่าเป็น agronomic traits

        2. ทำให้เกิดพืชสายพันธุ์ใหม่ที่มีคุณสมบัติเหมาะแก่การเก็บรักษาเป็นเวลานาน ทำให้สามารถอยู่ได้นานวัน และขนส่งได้เป็นระยะทางไกลโดยไม่เน่าเสีย เช่น มะเขือเทศที่สุกช้า หรือแม้จะสุกแต่ก็ไม่งอม เนื้อยังแข็ง และกรอบ ไม่งอมหรือเละเมื่อไปถึงมือผู้บริโภค ลักษณะนี้ก็ถือว่าเป็น agronomic traits เช่นเดียวกัน เพราะให้ประโยชน์แก่เกษตรกรและผู้จำหน่าย สินค้า GMOs ส่วนใหญ่ที่มีอยู่ในปัจจุบันนี้อยู่ในจำพวก ข้อ 1 หรือ ข้อ 2 ที่กล่าวมานี้

ประโยชน์ต่อผู้บริโภค
        3. ทำให้เกิดธัญพืช ผัก หรือผลไม้ที่มีคุณสมบัติเพิ่มขึ้นในทางโภชนาการ เช่น ส้มหรือมะนาวที่มีวิตามินซีเพิ่ม มากขึ้น หรือผลไม้ที่มีขนาดใหญ่ขึ้นกว่าเดิม ให้ผลมากกว่าเดิม ลักษณะเหล่านี้เป็นการเพิ่มคุณค่าเชิงคุณภาพ (quality traits)

        4. ทำให้เกิดพันธุ์พืชใหม่ๆ ที่มีคุณค่าในเชิงพาณิชย์ เช่น ดอกไม้หรือพืชจำพวกไม้ประดับสายพันธุ์ใหม่ที่มี รูปร่างแปลกกว่าเดิม ขนาดใหญ่กว่าเดิม สีสันแปลกไปจากเดิม หรือมีความคงทนกว่าเดิม ซึ่งถือว่าเป็น quality traits เช่นกัน

        GMOs ที่มีลักษณะที่กล่าวมาในข้อ 3 และข้อ 4 นี้ในบางประเทศเช่น สหรัฐอเมริกาและญี่ปุ่นเริ่มมีจำหน่าย เป็นสินค้าแล้ว และคาดว่าจะมีความแพร่หลายมากขึ้นในช่วงหลายปีต่อจากนี้ ทั้งหมดที่กล่าวมาตั้งแต่ข้อ 1-4 นี้ อาจเรียกได้ว่าเป็นการลัดขั้นตอนของการผสมพันธุ์พืช ซึ่งในหลายกรณีหากช่วงชีวิตของพืชยาว ทำให้ต้องกิน เวลานานกว่าจะได้ผลเนื่องจากต้องมีการคัดเลือกหลายครั้ง การทำ GMOs ทำให้ขั้นตอนนี้เร็วและแม่นยำยิ่งขึ้น กว่าเดิมมาก

ประโยชน์ต่ออุตสาหกรรม
        5. คุณสมบัติของพืชที่ทำให้ลดการใช้สารเคมี และช่วยให้ได้พืชผลมากขึ้นกว่าเดิมมีผลทำให้ต้นทุนการผลิตต่ำลง วัตถุดิบที่มาจากภาคเกษตร เช่น กากถั่วเหลือง อาหารสัตว์จึงมีราคาถูกลง ทำให้เพิ่มอำนาจในการแข่งขัน

        6. นอกจากพืชแล้ว ยังมี GMOs หลายชนิดที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบันนี้ในอุตสาหกรรมอาหาร เช่น เอ็นไซม์ที่ใช้ ในการผลิตน้ำผักและน้ำผลไม้ หรือเอ็นไซม์ ไคโมซิน ที่ใช้ในการผลิตเนยแข็งแทบทั้งหมดเป็นผลิตภัณฑ์ที่ ได้จาก GMOs และมีมาเป็นเวลานานแล้ว

        7. การผลิตวัคซีน หรือยาชนิดอื่นๆ ในอุตสาหกรรมยาปัจจุบันนี้ล้วนแล้วแต่ใช้ GMOs แทบทั้งสิ้น อีกไม่นานนี้ เราอาจมีน้ำนมวัวที่มีส่วนประกอบของยาหรือฮอร์โมนที่จำเป็นต่อมนุษย์ ซึ่งผลิตจาก GMOs ลักษณะที่กล่าวถึง ตั้งแต่ข้อ 6-8 ล้วนมีส่วนทำให้ลดต้นทุนการผลิตและเวลาที่ต้องใช้ลงทั้งสิ้น

ประโยชน์ต่อสิ่งแวดล้อม
        8. ประโยชน์ที่มีต่อสิ่งแวดล้อมคือ เมื่อพืชมีคุณสมบัติสามารถป้องกันศัตรูพืชได้เอง อัตราการใช้สารเคมีเพื่อ ปราบศัตรูพืชก็จะลดน้อยลงจนถึงไม่ต้องใช้เลย ทำให้มีลดมลภาวะต่อสิ่งแวดล้อมที่เกิดขึ้น จากการใช้สารเคมี ปราบศัตรูพืช และลดอันตรายต่อเกษตรกรเองที่เกิดขึ้นจากพิษของการฉีดสารเหล่านั้นในปริมาณมาก (ยกเว้น บางกรณีเช่น พืชที่ต้านทานยาปราบวัชพืชที่อาจมีโอกาสทำให้เกิดแนวโน้มในการใช้สารปราบวัชพืชของบาง บริษัทมากขึ้น ซึ่งขณะนี้ยังเป็นที่ถกเถียงกันอยู่)

         9. หากยอมรับว่าการปรับปรุงพันธุ์ และการคัดเลือกพันธุ์พืชเป็นการเพิ่มความหลากหลายของสายพันธุ์ให้มากขึ้น แล้ว การพัฒนา GMOs ก็ย่อมมีผลทำให้เพิ่มความหลากหลายทางชีวภาพขึ้นเช่นกัน เนื่องจากยีนที่มีคุณสมบัติ เด่นได้รับการคัดเลือกให้มีโอกาสแสดงออกได้ในสิ่งมีชีวิตหลากหลายสายพันธุ์มากขึ้น


โทษของพืช GMOs
        เทคโนโลยีทุกชนิดเมื่อมีข้อดีก็ย่อมมีข้อเสีย ในกรณีของ GMOs นั้นข้อเสียคือ มีความเสี่ยงและความซับซ้อนใน การบริหารจัดการเพื่อให้มีความปลอดภัยเพื่อให้เกิดประโยชน์มากกว่าโทษ แม้ว่าในขณะนี้ยังไม่มีรายงานว่ามี ผู้ใดได้รับอันตรายจากการบริโภคอาหาร GMOs แต่ความกังวลต่อความเสี่ยงของการใช้ GMOs เป็นสิ่งที่ หลีกเลี่ยงได้ยาก เช่น กรณีตัวอย่างดังต่อไปนี้

ความเสี่ยงต่อผู้บริโภค
        1. สารอาหารจาก GMOs อาจมีสิ่งปนเปื้อนที่เป็นอันตราย เช่น เคยมีข่าวว่า กรดอะมิโน L-Tryptophan ของบริษัท Showa Denko ทำให้ผู้บริโภคในสหรัฐเกิดอาการป่วยและล้มตาย อย่างไรก็ตาม กรณีที่เกิดขึ้นนี้แท้จริงแล้วเป็น ผลมาจากความบกพร่องในขั้นตอนการควบคุมคุณภาพ (quality control) ทำให้มีสิ่งปนเปื้อนหลงเหลืออยู่ หลังจาก กระบวนการทำให้บริสุทธิ์ มิใช่ตัว GMOs ที่เป็นอันตราย

        2. ความกังวลในเรื่องของการเป็นพาหะของสารพิษ เช่น ความกังวลที่ว่า DNA จากไวรัสที่ใช้ในการทำ GMOs อาจเป็นอันตราย เช่น การทดลองของ Dr.Pusztai ที่ทดลองให้หนูกินมันฝรั่งดิบที่มี lectin และพบว่าหนูมีภูมิคุ้ม กันลดลง และมีอาการบวมผิดปกติของลำไส้ ซึ่งงานชิ้นนี้ได้รับการวิพากษ์วิจารณ์อย่างสูง โดยนักวิทยาศาสตร์ ส่วนใหญ่มีความเห็นว่าการออกแบบการทดลองและวิธีการทดลองบกพร่อง ไม่ได้มาตรฐานตามหลักการวิทยา ศาสตร์ ในขณะนี้เชื่อว่ากำลังมีความพยายามที่จะดำเนินการทดลองที่รัดกุมมากขึ้นเพื่อให้ได้ข้อมูลที่เชื่อถือได้ มากขึ้น และจะสามารถสรุปได้ว่าผลที่ปรากฏมาจากการตบแต่งทางพันธุกรรมหรืออาจเป็นเพราะเหตุผลอื่น

        3. สารอาหารจาก GMOs อาจมีคุณค่าทางโภชนาการไม่เท่าอาหารปกติในธรรมชาติ เช่น รายงานที่ว่าถั่วเหลืองที่ ตัดแต่งพันธุกรรมมี isoflavone มากกว่าถั่วเหลืองธรรมดาเล็กน้อย ซึ่งสารชนิดนี้เป็นกลุ่มของสารที่เป็น phytoestrogen (ฮอร์โมนพืช) ทำให้มีความกังวลว่า การเพิ่มขึ้นของฮอร์โมน estrogen อาจทำให้เป็นอันตรายต่อ ผู้บริโภคหรือไม่ โดยเฉพาะในกลุ่มเด็กทารก จึงจำเป็นต้องมีการศึกษาผลกระทบของการเพิ่มปริมาณของสาร isoflavine ต่อกลุ่มผู้บริโภคด้วย

        4. ความกังวลต่อการเกิดสารภูมิแพ้ (allergen) ซึ่งอาจได้มาจากแหล่งเดิมของยีนที่นำมาใช้ทำ GMOs นั้น ตัวอย่าง ที่เคยมีเช่น การใช้ยีนจากถั่ว Brazil nut มาทำ GMOs เพื่อเพิ่มคุณค่าโปรตีนในถั่วเหลืองสำหรับเป็นอาหารสัตว์ จากการศึกษาที่มีขึ้นก่อนที่จะมีการผลิตออกจำหน่าย พบว่าถั่วเหลืองชนิดนี้อาจทำให้คนกลุ่มหนึ่งเกิดอาการแพ้ เนื่องจากได้รับโปรตีนที่เป็นสารภูมิแพ้จากถั่ว Brazil nut บริษัทจึงได้ระงับการพัฒนา GMOs ชนิดนี้ไป อย่างไร ก็ตามพืช GMOs อื่นๆ ที่มีจำหน่ายอยู่ทั่วไปในโลกในขณะนี้ เช่น ถั่วเหลืองและข้าวโพดนั้น ได้รับการประเมิน แล้วว่า อัตราความเสี่ยงไม่แตกต่างจากถั่วเหลืองและข้าวโพดที่ปลูกอยู่ทั่วไปในปัจจุบัน

        5. การตบแต่งพันธุกรรมในสัตว์ปลอดภัยต่อผู้บริโภคหรือไม่? ในบางกรณี วัว หมู รวมทั้งสัตว์ชนิดอื่นที่ได้รับ recombinant growth hormone อาจมีคุณภาพที่แตกต่างไปจากธรรมชาติ และ/หรือมีสารตกค้างหรือไม่ ขณะนี้ยัง ไม่มีข้อยืนยันชัดเจนในเรื่องนี้ อย่างไรก็ตาม สัตว์มีระบบสรีระวิทยาที่ซับซ้อนมากกว่าพืช และเชื้อจุลินทรีย์ ทำให้การตบแต่งพันธุกรรมในสัตว์ อาจทำให้เกิดผลกระทบอื่นๆ ที่ไม่คาดคิดได้ โดยอาจทำให้สัตว์มีลักษณะและ คุณสมบัติเปลี่ยนไป และมีผลทำให้เกิดสารพิษอื่นๆ ที่เป็นสารตกค้างที่ไม่ปรารถนาขึ้นได้ การตบแต่งพันธุกรรม ในสัตว์ที่เป็นอาหารโดยตรง จึงควรต้องมีการพิจารณาขั้นตอนการประเมินความปลอดภัยที่ครอบคลุมมากกว่า เชื้อจุลินทรีย์และพืช

        6. ความกังวลเกี่ยวกับการดื้อยา กล่าวคือเนื่องจากใน marker gene มักจะใช้ยีนที่สร้างสารต่อต้านปฏิชีวนะ (antibiotic resistance) ดังนั้นจึงมีผู้กังวลว่าพืชใหม่ที่ได้อาจมีสารต้านปฏิชีวนะอยู่ด้วย ทำให้มีคำถามว่า
             6.1 ถ้าผู้บริโภคอยู่ในระหว่างการใช้ยาปฏิชีวนะอยู่ อาจจะทำให้การรักษาไม่ได้ผลหรือไม่ เนื่องจากมีสารต้าน ทานยาปฏิชีวนะอยู่ในร่างกาย ซึ่งเป็นปัญหาที่นักวิทยาศาสตร์กล่าวว่ามีโอกาสเกิดขึ้นได้น้อย และสามารถแก้ไข หรือหลีกเลี่ยงได้
             6.2 ถ้าเชื้อแบคทีเรียที่ตามปกติมีอยู่ในร่างกายคน ได้รับ marker gene ดังกล่าวเข้าไปโดยผนวก (integrate) เข้าอยู่ในโครโมโซมของมันเอง ก็จะทำให้เกิดแบคทีเรียสายพันธุ์ใหม่ที่ดื้อยาปฏิชีวนะได้ ข้อนี้มีโอกาสเป็นไปได้ น้อยมาก
แต่เมื่อมีความกังวลเกิดขึ้น ขณะนี้นักวิทยาศาสตร์จึงได้คิดค้นวิธีใหม่ที่ไม่ต้องใช้ selectable marker ที่เป็นสาร ต่อต้านปฏิชีวนะ หรือบางกรณีก็สามารถนำยีนส่วนที่สร้างสารต่อต้านปฏิชีวนะออกไปได้ก่อนที่จะเข้าสู่ห่วงโซ่ อาหาร

        7. ความกังวลเกี่ยวกับการที่ยีน 35S promoter และ NOS terminator ที่อยู่ในเซลล์ของ GMOs จะหลุดรอดจากการ ย่อยภายในกระเพาะอาหารและลำไส้ เข้าสู่เซลล์ปกติของคนที่รับประทานเข้าไป แล้วเกิด active ขึ้นทำให้เกิด การเปลี่ยนแปลงของยีนในมนุษย์ ซึ่งข้อนี้จากผลการทดลองที่ผ่านมายืนยันได้ว่า ไม่น่ากังวลเนื่องจากมีโอกาส เป็นไปได้น้อยที่สุด

        8. อย่างไรก็ตาม อาจจำเป็นต้องใช้ความระมัดระวังบ้างในบางกรณี เช่น เด็กอ่อนที่มีระบบทางเดินอาหารที่สั้นกว่า ผู้ใหญ่ทำให้การย่อยอาหารโดยเฉพาะ DNA ในอาหาร เป็นไปโดยไม่สมบูรณ์เมื่อเทียบกับผู้ใหญ่ ในข้อนี้แม้ว่า จะมีความเป็นไปได้ที่จะเกิดอันตรายค่อนข้างต่ำ แต่ก็ควรมีการวิจัยโดยละเอียดต่อไป

ความเสี่ยงต่อสิ่งแวดล้อม
        9. มีความกังวลว่า สารพิษบางชนิดที่ใช้ปราบแมลงศัตรูพืช เช่น Bt toxin ที่มีอยู่ใน GMOs บางชนิดอาจมีผล กระทบต่อแมลงที่มีประโยชน์ชนิดอื่นๆ เช่น ผลการทดลองของ Losey แห่งมหาวิทยาลัย Cornell ที่กล่าวถึงการ ศึกษาผลกระทบของสารฆ่าแมลงของเชื้อ Bacillus thuringiensis (บีที) ในข้าวโพดตบแต่งพันธุกรรมที่มีต่อผีเสื้อ Monarch ซึ่งการทดลองเหล่านี้ทำในห้องทดลองภายใต้สภาพเงื่อนไขที่บีบเค้น และได้ให้ผลในขั้นต้นเท่านั้น จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีการทดลองภาคสนามเพื่อให้ทราบผลที่มีนัยสำคัญ ก่อนที่จะมีการสรุปผลและนำไปขยายความ

        10. ความกังวลต่อการถ่ายเทยีนออกสู่สิ่งแวดล้อม ทำให้เกิดผลกระทบต่อความหลากหลายทางชีวภาพเนื่องจาก มีสายพันธุ์ใหม่ที่เหนือกว่าสายพันธุ์ดั้งเดิมในธรรมชาติ หรือลักษณะสำคัญบางอย่างถูกถ่ายทอดไปยังสายพันธุ์ ที่ไม่พึงประสงค์ หรือแม้กระทั่งการทำให้เกิดการดื้อต่อยาปราบวัชพืช เช่น ที่กล่าวกันว่าทำให้เกิด super bug หรือ super weed เป็นต้น ในขณะนี้มีการวิจัยจำนวนมากเกี่ยวกับการถ่ายเทของยีน แต่ยังไม่มีข้อยืนยันในเรื่องนี้

ความกังวลในด้านเศรษฐกิจ-สังคม
        11. ความกังวลอื่นๆ นั้นมักเป็นเรื่องนอกเหนือวิทยาศาสตร์ เช่น ในเรื่องการครอบงำโดยบรรษัทข้ามชาติที่มีสิทธิ บัตร ถือครองสิทธิ์ในทรัพย์สินทางปัญญาที่เกี่ยวข้องกับ GMOs ทำให้เกิดความกังวลเกี่ยวกับความมั่นคงทาง อาหาร ตลอดจนปัญหาความสามารถในการพึ่งตนเองของประเทศในอนาคต ที่มักถูกหยิบยกขึ้นมากล่าวถึงโดย NGOs และปัญหาในเรื่องการกีดกันสินค้า GMOs ในเวทีการค้าระหว่างประเทศ ซึ่งเป็นประเด็นปัญหาของ ประเทศไทยอยู่ในปัจจุบัน

        แม้ว่าจะมีความกังวลอยู่ แต่ควรทราบว่า GMOs เป็นผลิตผลจากเทคโนโลยีที่ได้รับการดูแลอย่างดีที่สุดอย่างหนึ่ง เท่าที่มนุษย์เคยคิดค้นมา ในประเทศไทยมีแนวปฏิบัติในเรื่องความปลอดภัยทางชีวภาพสำหรับนักวิจัย (biosafety guidelines) ทุกขั้นตอน ทั้งในระดับห้องปฏิบัติการและในการทดลองภาคสนามเพื่อให้การวิจัยและ พัฒนา GMOs มีความปลอดภัยสูงสุด และเป็นพื้นฐานในการประเมินความเสี่ยงต่อมนุษย์และสิ่งแวดล้อม ซึ่งการ ประเมินความเสี่ยงนี้เป็นสิ่งที่จำเป็นที่ต้องกระทำอย่างต่อเนื่องในแต่ละสภาพแวดล้อม เพื่อให้ได้ข้อมูลที่รอบด้าน และรัดกุมที่สุด
        อย่างไรก็ดี กรณี GMOs เป็นโอกาสที่ดีในการที่ประชาชนในชาติได้มีความตื่นตัวและเร่งสร้างวุฒิภาวะ โดย เฉพาะอย่างยิ่งความรู้ความเข้าใจในเทคโนโลยีชีวภาพ ซึ่งเป็นเรื่องที่จำเป็นอย่างยิ่ง เนื่องจากการตัดสินใจใดๆ ของสังคมควรเป็นไปโดยอยู่บนพื้นฐานของความเข้าใจในวิทยาศาสตร์ และโดยขั้นตอนทางวิทยาศาสตร์ นั่นคือ การให้ความสำคัญกับที่มาของข้อมูลและการตรวจสอบความถูกต้องแม่นยำของข้อมูล มิใช่เป็นไปโดยความ ตื่นกลัว หรือการตามกระแส


วันอาทิตย์ที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

ไทย กับ E-Sport ระดับโลก

E-Sports เริ่มมาตั้งแต่เมื่อไหร่
         การแข่งขัน E-sports นั้นเริ่มแข่งขันกันในช่วงปี 1972 ที่มหาวิทลัยสแตนฟอร์ด ซึ่งเกมที่จัดแข่งขั้นในครั้งนั้นก็คือเกม Spacewar เป็นการแข่งขันภายในมหาวิทลัยกันเอง และอีก 9 ปีต่อมา บริษัท Atari  ที่ตอนนี้ทนกระแสกาลเวลาไม่ไหวปิดตัวไปแล้ว ได้เคยจัดการแข่งขันเกม Space Invaders ซึ่งตอนนั้นมีผู้เข้าร่วมการแข่งขันมากกว่า 5,000 คนจากทั่วสหรัฐอเมริกากันเลย

10 อันดับเกมที่มีการแข่งขัน E-Sports มากที่สุด

           ในปัจจุบันประเทศไทยได้เริ่มทำความรู้จักกับคำว่า E-Sports หรือกีฬาอิเล็คทรอนิคส์กันมากยิ่งขึ้น การเล่นเกมในประเทศไทยมีผลตอบแทนกันมากขึ้น เกมเมอร์ในประเทศไทยมีรายได้จากเกมกันมากขึ้น แต่ทว่าหากคุณติดตามข่าวสารวงการเกมในไทยและต่างประเทศอยู่เป็นประจำ คุณจะเห็นได้ว่าเกมที่ได้รับความนิยมและมีการแข่งขัน E-Sport บ่อยครั้งในบ้านเรานั้นมักจะมีความแตกต่างจากสากลโลกไปพอสมควรเลยทีเดียว ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับปัจจัยที่แตกต่างกันไปเช่น นโยบายผู้ให้บริการในประเทศไทย ผลกำไรที่จะนำมาซึ่งการจัดกิจกรรมตอบแทน ไม่มีผู้ให้บริการและจัดจำหน่ายอย่างเป็นทางการในประเทศไทย รสนิยมและทัศนคติต่อเกมของคนไทยและอื่นๆอีกมากมายหลายพันล้านเหตุผล

           วันนี้ทาง GamingDose จะนำข้อมูล 10 อันดับเกมที่มีการแข่งขัน E-Sports มากที่สุดจาก battlefy ระบบสำหรับจัดการการแข่งขันเกมที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในโลกมาให้เกมเมอร์ไทยได้ดูกันว่าในโลกใบนี้เกมอะไรกันแน่นะที่ได้รับความนิยมในกลุ่มเกมเมอร์ที่ชื่นชอบการแข่งขัน E-Sports และมีจำนวนการแข่งขันหรือผู้เข้าแข่งขันกันมากน้อยขนาดไหน ไปเริ่มกันเลยดีกว่า


1. League of Legends
           League of Legends เป็นเกมที่ได้ชื่อว่ามีรายการการแข่งขันที่ยิ่งใหญ่ติดอันดับโลกด้วยตัวเลขผู้เข้าชมจำนวนมหาศาลและยอดผู้รับชมผ่านการถ่ายทอดสดออนไลน์ชนิดที่ว่า ESPN ยังต้องหันมาสนใจและเริ่มมองธุรกิจการถ่ายทอดสดสินค้าประเภทเกมซึ่งต้องยกเครดิตให้กับการบริหารจัดการที่ทาง Riot Games ทำออกมาได้คุ้มค่าเม็ดเงินมหาศาลที่พวกเขามีเลยทีเดียว เกมนี้ในประเทศไทยก็ใช่ย่อยครับมีคนเล่นมากน่าจะติดระดับต้นๆของประเทศเลยซึ่งทาง Garena Thailand ก็มีการจัดการและกิจกรรมอย่างต่อเนื่องจนมีทีม E-Sports ในประเทศไทยหลายทีมให้ความสนใจและเข้าร่วมการแข่งขันชิงเงินรางวัลมากมาย

2. DOTA 2
            DOTA 2 เกมที่ขับเคี่ยวกับ League of Legends มาอย่างต่อเนื่อง เกม DOTA 2 เองถึงแม้จะไม่มีการแข่งขันแบบลีคที่ชัดเจนเท่า League of Legends แต่ก็มีการแข่งขันอย่าง The International ที่ทั่วโลกต้องตาลุกวาวกับเงินรางวัลที่จะทำให้คุณกลายเป็นเศรษฐีเงินล้านได้ในทันทีที่ชนะการแข่งขัน เกมนี้ในประเทศไทยนั้นนับได้ว่ามีผู้เล่นไม่น้อยเลยทีเดียวแต่ในส่วนของรายการการแข่งขันนั้นยังไม่หนักแน่นเท่าไหร่นักเมื่อเทียบกับเกมก่อนหน้า แต่ประเทศไทยก็มีทีม MiTH.Trust ที่ทั่วโลกรู้จักและครั้งหนึ่งเคยได้ไปร่วมงานการแข่งขัน The International มาแล้วด้วยเมื่อปี 2011

3. FIFA
             FIFA เกมฟุตบอลที่ได้รับความนิยมในเวทีการแข่งขันเกมฟุตบอลระดับโลกในอดีตโดยก่อนหน้าที่กระแสเกมแนว MOBA จะพุ่งทะลุเพดานบินแบบในปัจจุบัน นอกจากเกม Counter Strike และ Starcraft ก็มี FIFA นี่แหละครับที่มีรายการการแข่งขันที่ผู้เล่นได้ฝึกฝีมือและรอฟาดแข้งกันในงาน World Cyber Games ก่อนที่จะร่วงโรยลงไปในปี 2013 ที่ผ่านมา ในปัจจุบันด้วยทิศทางของวงการเกมและ E-Sport ที่เปลี่ยนไปทำให้การแข่งขัน FIFA ได้ลดลงในต่างประเทศซึ่งสำหรับในประเทศไทยเองแทบจะเรียกได้ว่าสาบสูญกันเลยทีเดียว ถ้าจะมีก็คงเป็นการแข่งขัน ESTC ในงาน Big Festival นี่แหละครับ ส่วนปีนี้จะมีหรือไม่ต้องรอดูกันต่อไป

4. Pokemon
             หลายคนอาจจะงงเป็นไก่ตาแตกว่าเกมอย่างโปเกมอนนี่ก็มันแข่งขันกันได้ด้วยเรอะ หยุดครับ หยุดภาพอดีตสมัยPokemon Gold & Silver ที่ยังต้องเสียบสายลิงค์แล้วเข้ามาสู้กันแบบสมัยก่อนครับ ในบ้านเราเกมโปเกมอนน่าจะลดความ Mass ลงเนื่องจากการ์ตูนที่ไม่ได้เด่นดังแบบเมื่อในอดีตและความหลากหลายของการเล่นเกมที่มีคอนโซลให้เลือกกันมากขึ้น มีเครื่องเล่นเกมพกพาที่ต้องแข่งขันกับทางตลาดของ Mobile Game ทำให้เกมโปเกมอนไม่เป็นที่นิยมมากนักอาจจะยังพอมีกลุ่มแฟนคลับอยู่บ้าง แต่ในต่างประเทศนั้นเกมนี้ได้รับความนิยมเป็นอย่างสูงจนทำให้ก่อเกิดการแข่งขันระดับเขตขึ้นมาในญี่ปุ่น เติบโตมาเป็นการแข่งขันระหว่างญีปุ่นฝั่งตะวันออกและตะวันตกโดยอดีตผู้อยู่เบื้องหลังการแข่งขัน WCG จนในปัจจุบันกลายเป็นเกมที่มีการแข่งขันชิงแชมป์โลกกันเลยทีเดียว

5. StarCraft 2
StarCraft เป็นเกมที่ต้องบอกเลยว่าน่าเสียดายเอามากๆที่ในประเทศไทยไม่ค่อยมีรายการการแข่งขันเท่าไหร่นัก เหตุที่ผมต้องบอกว่าน่าเสียดายก็คือการที่ประเทศไทยนั้นมีผู้เล่นระดับโลกอย่าง RedArchon ที่ขาดโอกาสทำให้ได้โชว์ผลงานไม่มากเท่าที่ควร โดย StarCraft ภาคแรกถือเป็นเกมที่มีการแข่งขันสูงมากเมื่อครั้งในอดีตจนกระทั่งมีการเปิดตัวเกม StarCraft 2 และพยายามผลักดันการแข่งขันในประเทศเกาหลีใต้ให้เป็นระบบลีคมืออาชีพ มีการจัดการผู้เล่น มีการแบ่งระดับ ถ่ายทอดสดออกทีวีและอีกหลายสิ่งมากมายซึ่งก็ยังถือได้ว่าการแข่งขัน StarCraft 2 บนเวทีโลกนั้นยังอยู่ในสถานะที่น่าพึงพอใจ

6. Call of Duty
            อย่างที่หลายคนทราบกันดีว่าทาง Activision ผู้จัดจำหน่ายเกม Call of Duty ได้พยายามผลักดันให้เกมตระกูล Call of Duty เป็นมากกว่าสื่อบันเทิงวิดีโอเกมส์แต่ต้องการให้มันเป็นเหมือนกับวัฒนธรรมการเล่นเกมของอเมริกันชน ดังนั้นจึงมีการจัดการแข่งขันเพื่อสร้างมูลค่าของเกมให้มากยิ่งขึ้นโดยเข้าร่วมวงการ E-Sports ในปัจจุบันเกม Call of Duty มีการแข่งขันในประเทศอย่างอเมริกาด้วยจำนวนที่สูงมากจนแทบจะเรียกได้ว่าเหล่าผู้เล่นเกม Call of Duty ได้ผันตัวเองจากการเล่นเกมฆ่าเวลามาเป็นการแข่งขันชิงเงินรางวัลหลายล้านเลยทีเดียวซึ่งทีมดังอย่าง OpTic Gaming ที่ได้รวมตัวมาก่อนกาลนับตั้งแต่ Call of Duty 4: Modern Warfareก็ได้คว้าแชมป์และรับเงินรางวัลไปมากมาย
7. Counter Strike
              Counter Strike เกมยิงสุดคลาสสิกก็ไม่พลาดที่จะติดโผสิบอันดับเกมที่มีการแข่งขัน E-Sports มากที่สุดด้วยเช่นกัน ในปัจจุบันผมเชื่อว่าหากคุณอยากจะเป็นเป็นนักกีฬา E-Sports ระดับโลกที่มีชื่อเสียง คุณสมควรที่จะเลือกเกมนี้เพราะ Counter Strike เป็นเกมที่มีผู้ให้ความสนใจทั่วโลกและมีการแข่งขันที่นำเสนอได้น่าสนใจเอามากอย่าง Inter Extreme Master และ Dream Hack ซึ่งในอดีตเราก็มีทีมอย่าง Nearly God ที่สร้างชื่อเสียงให้ผู้เล่นจากประเทศไทยได้เป็นที่รู้จักกันบ้าง ถึงแม้ในปัจจุบัน”พี่แว่น”จะออกมาสร้างกระแสให้ผู้คนหันมาสนใจเกม Counter Strike: Global Offensive กันมากขึ้นแต่ก็น่าเสียดายที่การแข่งขันเกมนี้ในบ้านเรามันน้อยมากซะจนแทบจะเรียกได้ว่าไม่มีเลยก็ได้

8. Street Fighter
            Street Fighter เกมต่อสู้สุดฮิตที่หลายคนต้องร้องไห้กับความยากในการกดท่าและคอมโบภายในเกม เกมนี้ได้รับความนิยมและมีการจัดการแข่งขันระดับโลกและมีการรวมกลุ่ม Community ในไทยที่ถือได้ว่าไม่ใช่เล็กๆเลยครับ ผมเองเคยได้ไปสัมผัสกับกลุ่มผู้เล่น Street Fighter ในประเทศไทยซึ่งก็น่าดีใจครับที่พวกเขายังคงเหนียวแน่น มีการซ้อมฝึกปรือฝีมือกันเอง มีการจัดแข่งขันเล็กๆภายในกลุ่มเพื่อผสานมิตรภาพรวมไปถึงการติดต่อ Connection กับทางต่างประเทศอยู่อย่างต่อเนื่องราวกับว่าถ้าวันหนึ่งในอนาคตได้มีการจัดแข่งขันครั้งใหญ่ขึ้นมาในบ้านเรา พวกเขาก็พร้อมที่จะฟาดฟันกันอย่างดุเดือดแน่นอน สำหรับเกมเมอร์ชาวไทยการแข่งขันที่มีอยู่และพอเป็นที่รู้จักเชื่อได้ว่าน่าจะเป็นเหมือนเกม FIFA นั่นคือรายการ ESTC ในงาน Big Festival 

9. Battlefield
               EA เคยประกาศกร้าวว่าจะนำเกม Battlefield เข้าสู่วงการ E-Sports และได้มีการเพิ่ม Feature สำหรับการรวมกลุ่มก้อนแก๊งแคลนทีมรวมไปถึงรองรับการ Broadcasting มากยิ่งขึ้น เกม Battlefield ในภาค 3 และภาค 4 ได้มีผู้ให้ความสนใจเข้ามาจัดการแข่งขันกันมากขึ้นไม่เว้นแม้กระทั่งในประเทศไทยก่อนจะเงียบหายกันไปโดยในต่างประเทศเองก็ได้มีการจัดการแข่งขันอยู่อย่างต่อเนื่อง ทีมดังหลายทีมก็เริ่มเปิดรับผู้เล่นสำหรับการสร้างทีมBattlefield ขึ้นมาแต่ดูเหมือนว่าด้วยคอนเซ็ปท์ของตัวเกมที่ไม่ได้เหมาะกับการนำมาเป็นเกมสำหรับ Competitive เท่าไหร่นักก็ทำให้แลดูว่าจะเข็นกันยากนิดนึงครับ ในประเทศไทยเองด้วยคุณภาพของเกมBattlefield 4 ที่ไม่ได้ประทับจับจิตผู้เล่นหน้าใหม่เท่าไหร่นักก็ทำให้กระแสต้องเงียบไป งานนี้ต้องดูช่วงกุมภาพันธ์ปีหน้าครับว่า Battlefield: Hardline จะออกมากอบกู้ศักดิ์ศรีของเกมนี้คืนได้หรือไม่

10. World of Tanks
              World of Tanks เกมนี้ในประเทศไทยถึงแม้จะมีผู้ให้บริการที่ผลักดันตัวเกมอย่างต่อเนื่อง ทุ่มทุนสร้างไม่เบา จัดกิจกรรมไม่ใช่น้อยแต่ด้วยความเฉพาะทางของตัวเกมที่เน้นเจาะกลุ่มคนชอบรถถังมากทำให้ผู้เล่นเกมนี้นั้นมีจำนวนไม่มากนักซึ่งประเทศไทยเราก็มีทีมอย่าง RTA ที่เคยลงแข่งขันในเวทีระดับต่างประเทศมาบ้างแล้ว เกม World of Tanks นี่ได้รับความนิยมในประเทศอย่างเยอรมนี รัสเซียหรือบริเวณรอบนั้นซึ่งพวกเขามีความผูกพันและประวัติศาสตร์ที่เกี่ยวพันกับรถถังทำให้เกมนี้ได้เข้าไปเติมเต็มชีวิตพวกเขาโดยมีการจัดการแข่งขันเงินรางวัลมหาศาลไม่แพ้เกมดังอื่นๆเช่นกัน
ที่มา : http://droidsans.com/e-sports-ep1-introduction-to-electronic-sports
          http://www.gamingdose.com/feature/10-อันดับเกมที่มีการแข่ง/

10 อันดับ Blogger สอนเขียนโปรแกรม และ 10 อันดับ Blogger ที่น่าสนใจ

10 อันดับ Blogger สอนเขียนโปรแกรม

1.กฏระเบียบในเว็บและเพจ (วงการด้วย)
http://kiss-hack.blogspot.com/2013/09/blog-post.html

2.คอร์ดรวมพื้นฐานการแฮค และ เทคนิคที่ใช้แฮค
http://kiss-hack.blogspot.com/2014/12/pentesting-hacking-webapplication.html

3.PHP เบื้องต้น (คุยกันก่อน)
http://kiss-hack.blogspot.com/2013/08/php.html

4.c/c++ robot simulator เรียนรู้การเขียนโปรแกรมควบคุมหุ่นยนต์
http://krumonrobot.blogspot.com/

5.JAVA เบื้องต้น
http://www.javathailand.com/ajax/app/index.php?r=frontend/viewByGroupVdoId&group_vdo_id=1

6.มาพูดถึงเรื่องการ ยิงIP ด้วย Flood ต่างๆกัน
http://kiss-hack.blogspot.com/2013/08/ip-flood.html

7.สร้างแบบฟอร์มลงทะเบียน แบบฟรี Form Free Google Drive
http://kobover.blogspot.com/2014/03/form-free-google-drive.html

8.เขียนโปรแกรมโดยใช้วิชวลเบสิก 2008 (visual basic 2008)
http://code-visual-basic.blogspot.com/

9.สอนเขียน Java ขั้นพื้นฐานพร้อมกับ E-BOOK
http://xn--72c0ahm0b6dtbw6k.blogspot.com/2012/04/java-e-book.html

10.เกี่ยวกับภาษาC
http://kanandnun.blogspot.com/p/c.html


10 อันดับ Blogger ที่น่าสนใจ
อันดับ 1
Pearypie: Make-up Artist/Theatrical Artist : 473,953 likes
        เป็นใครไปไม่ได้เลยเพราะสาวแพรรี่พาย นอกจากจะมีฮาวทูการแต่งหน้าออกมาให้สาวๆได้อัพเดทกันอยู่เสมอ ยังมีทั้งแฟชั่นการแต่งกาย ที่บอกเลยว่ามาแรงแซงทางโค้งจริงๆ



อันดับ 2
แย้ นนทพร ธีระวัฒนสุข : 387,207 like
        ด้วยความที่เป็นพริตตี้สาวมากความสามารถ จึงทำให้ยอดไลค์ของหญิงแย้ มาเป็นอันดับที่ 2 ทั้งแบ่งปันวิธีการดูแลตัวเอง ตั้งหัวจรดเท้า แถมยังเป็นผู้หญิงที่เป็นตัวของตัวเองสุดๆ ทำให้ใครหลายๆคนยกให้หญิงแย้ เป็นไอดอล



อันดับ 3
Sp Saypan : 336,041 likes
        เป็นอีกหนึ่งสาวบิ้วตี้ บล็อกเกอร์ที่มาแรงอยู่ในตอนนี้ สายป่าน หรือใครๆหลายคนอาจจะรู้จักในนามของ ป่านศรี ด้วยความน่ารักและความจริงใจในการรีวิวผลิตภัณฑ์และเทคนิคในการดูแลตัวเองต่างๆ ทำให้สาวๆหลายคนเทใจให้สาว บิ้วตี้ บล็อกเกอร์คนนี้



อันดับ 4
Momay Pa Plearn : 275,791 likes
        โมเม พาเพลิน สาวไทยต่างขนานนามให้เธอว่า " คุณแม่ " ด้านการแต่งหน้าตัวจริง โมเม พาเพลิน ถือว่าเป็นผู้ที่ทำให้สาวๆหลายคนที่คิดจะเริ่มฝึกแต่งหน้า คิดถึงเธอเป็นคนแรก



อันดับ 5
FEONALITA : 182,713 likes
        ทราย ฟีโอนาลิต้า บิ้วตี้ บล็อกเกอร์ที่ใครหลายคนคงจะคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี สาวร่างเล็กคนดังประจำโต๊ะเครื่องแป้งพันทิป เธอมีทั้งเคล็ดลับการดูแลเสื้อผ้าหน้าผม รวมถึงการรีวิวผลิตภัณฑ์ความงามอีกมากมาย



อันดับ 6
Kunginter : 113,099 likes
        กุ้ง อินเตอร์ เป็นบิ้วตี้ บล็อกเกอร์อีกคนหนึ่งที่มีวิธีการดูแลตัวเองแบ่งปันให้ชาวแฟนเพจเสมอ ทั้งการดูแลผิวหน้า ผิวกาย รีวิวผลิตภัณฑ์ที่หลากหลาย จึงทำให้แฟนเพจส่วนใหญ่มีทั้งผู้หญิงและผู้ชาย



อันดับ 7
I'm Mayyr - Blog : 78,395 like
        เป็นสาวน้อยน่ารักอีกคนหนึ่ง ที่กลายเป็นที่รู้จักของสาวๆส่วนใหญ่เพราะการแต่งหน้า ทั้งการรีวิวเครื่องสำอางและของใช้คุณภาพดี บวกกับหน้าตาที่น่ารักจิ้มลิ้มทำให้แฟนเพจของคุณเมย์เป็นผู้ชายไม่น้อยเลยทีเดียว



อันดับ 8
Cinnamongal.com : 77,810 likes
        คุณมด บิ้วตี้ บล็อกเกอร์อีกหนึ่งคนที่สาวๆคงจะรู้จักกันเป็นอย่างดี เธอเปิดร้านขนมและยังเป็นที่รู้จักในวงการบิ้วตี้ บล็อกเกอร์ ที่มากความสามารถจริงๆ



อันดับ 9
OnnBaby : 21,729 likes 

        บล็อกเกอร์สาวสุดชิค กลายเป็นที่รู้จักของสาวๆจากการแบ่งปันเคล็ดลับและเทคนิคดีๆในการดูแลตัวเอง และยังเปิดตัวแบรนด์เครื่องสำอางที่แพคเกจแสนจะน่ารักกุ๊กกิ๊ก



อันดับ 10
Jelly Fish Makeup Mania : 19,022 likes 
        ปิดท้ายด้วยสาวสวยคนนี้ คุณจูน ที่มีทั้งฮาวทูการแต่งหน้าและยังแบ่งปันเทคนิคในการทำทรงผมต่างๆมากมาย สาวๆหลายคนจึงไม่รีรอที่จะกดติดตามเธอเพื่ออัพเดททริคในการดูแลตัวเองอย่างรอบด้าน



ที่มา: 
http://women.sanook.com/21100/

ประวัติของ Edward Snowden



ประวัติการเรียน
          เมื่ออายุได้ 16 ปี สโนว์เดนย้ายไปอยู่ที่เมืองเอลลิคอตต์ มลรัฐแมริแลนด์พร้อมกับครอบครัว และเข้าเรียนสาขาคอมพิวเตอร์ ที่วิทยาลัยแอนน์ อรันเดล คอมมิวนิตี คอลเลจ และตั้งใจเรียนต่ออนุปริญญา แต่ไม่สำเร็จ
ประวัติการทำงาน
          เมื่อวันที่ 7 พฤษภาคม 2547 เมื่ออายุได้ 21 ปี เขาเข้ารับใช้กองทัพสหรัฐฯ ด้วยความหวังว่าจะได้เป็นหน่วยรบพิเศษ ที่ไปรบในอิรัก เพื่อช่วยปลดปล่อยประชาชนจากการถูกกดขี่ แต่ระหว่างการฝึกได้เพียง 4 เดือน เขาได้รับอุบัติเหตุขาหักทั้งสองข้าง จึงถูกปลดจากกองทัพ
           ชีวิตพลิกผันไปเป็นเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย สังกัดสภาความมั่นคงแห่งชาติสหรัฐฯ หรือ NSA ประจำมหาวิทยาลัยแมริแลนด์ ก่อนเข้าร่วมงานกับซีไอเอ ในตำแหน่งรักษาความปลอดภัยด้านไอที จากนั้น อีก 3 ปีต่อมา เขาถูกย้ายไปประจำที่นครเจนีวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ในตำแหน่งเดิม ก่อนลาออกในปี 2552 เพื่อไปทำงานกับบริษัทเดลล์ และบูซ อัลเลน แฮมิลตัน
บริษัทเหล่านี้เป็นบริษัทนอก ที่รัฐบาลสหรัฐฯว่าจ้างให้ไปทำงานด้านไอที ให้กับหน่วยซีไอเอ ภายใต้การบังคับบัญชาของ NSA เขาทำงานให้กับเดลล์หลายปี ก่อนจะย้ายไปอยู่ที่บูธ อัลเลน แฮมิลตัน ซึ่งมีสำนักงานอยู่ที่มลรัฐฮาวาย เขามีบ้านอยู่ที่นั่น และใช้ชีวิตอยู่กับ ลินด์เซย์ มิลส์ แฟนสาวของเขา ซึ่งเป็นนักเต้นรูดเสา ที่คบหากันมา 4-5 ปี
ประวัติการแฉ
         
             ทำเนียบขาวและหน่วยข่าวกรองระดับนำของสหรัฐฯ ไม่ว่าจะเป็นสภาความมั่นคงแห่งชาติ (เอ็นเอสเอ) สำนักงานข่าวกรองกลาง (ซีไอเอ) และสำนักงานสอบสวนกลางแห่งสหรัฐฯ (เอฟบีไอ) พลันสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นราวกับเกิดแผ่นดินไหวระดับ 8 หรือ 9 จากฝีมือการขย่มของคนเล็กๆ คนหนึ่งที่มีพลังมหาศาลสามารถพลิกฟ้าคว่ำแผ่นดินวงการจารกรรมในแดนดินถิ่นอินทรีอเมริกาและทั่วโลกจนปั่นป่วนไปตามๆ กัน

         ประธานาธิบดีบารัก โอบามา ถึงกับนั่งไม่ติดขณะถูกรุมจวกแทบไม่มีชิ้นดีในคดีสะท้านโลก กรณีไฟเขียวให้ปัดฝุ่นโครงการลับสุดยอดที่ใช้ชื่อรหัสว่า “พริซึม” (prism) มาพัฒนาให้ทันสมัยปูทางให้เอ็นเอสเอ พร้อมด้วยซีไอเอและเอฟบีไอสามารถจารกรรมข้อมูลส่วนตัวของอเมริกันชนและผู้ที่เข้าไปตั้งถิ่นฐานในประเทศนี้ ด้วยการเจาะเข้าไปในระบบคอมพิวเตอร์แม่ข่ายหรือเซิร์ฟเวอร์ของบริษัทยักษ์ใหญ่ในวงการเทคโนโลยีของสหรัฐฯ 9 แห่ง ได้แก่ ไมโครซอฟท์, กูเกิล, เฟซบุ๊ก, ยาฮู, แอปเปิล, เอโอเแอล, พาลทอล์ค, สไกป์, และยูทูบ ซึ่งยินยอมพร้อมใจเปิดช่องทางพิเศษนี้ให้เจ้าหน้าที่เข้าไปค้นหาข้อมูลทุกชนิด ไม่ว่าจะเป็นอีเมล์ ภาพถ่าย คลิปเสียง หรือคลิปภาพเคลื่อนไหว

         ไม่นับรวมไปถึงการดักฟังโทรศัพท์ของมะกันชนกว่า 10 ล้านคน ตลอดจนการดักฟังเสียง วีดีโอ ข้อความแชท และการถ่ายโอนข้อมูล ต่างๆ ของสไกป์ หรือโปรแกรมติดต่อสื่อสารระหว่างกันผ่านอินเทอร์เน็ตด้วยข้อความพร้อมเสียงและภาพจากกล้อง webcam เพื่อสืบสาวหาข้อมูลทุกอย่างที่ถือว่าเป็นภัยต่อความมั่นคงของประเทศรวมทั้งอาจเป็นเบาะแสนำไปสู่การจับกุมกับผู้ก่อการร้าย เรียกได้ว่าเป็นการละเมิดสิทธิเสรีภาพส่วนบุคคลรวมทั้งเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นของประชาชนครั้งใหญ่สุดเป็นประวัติการณ์

         การเหวี่ยงแหจารกรรมข้อมูลส่วนตัวของประชาชนนี้ ขัดแย้งอย่างสิ้นเชิงกับสิ่งที่ทำเนียบขาวและหน่วยงานจารกรรมทั้ง 3 หน่วย ยืนกรานเป็นกระต่ายขาเดียวมาตลอด ว่าการจารกรรมทุกครั้งจะต้องมีเป้าหมายที่ชัดเจน และไม่ใช่การล้วงความลับของมะกันชนอย่างกว้างขวางเช่นนี้ แต่จากเอกสารลับหลายชิ้นเผยว่า เพียงแค่เดือนเดียวเท่านั้น เอ็นเอสเอได้รวบรวมข้อมูลข่าวสารอิเล็กทรอนิกส์เกือบ 3,000 ล้านชิ้น

          ที่สำคัญ ยังมีการแฉด้วยว่า การสอดแนมของพญาอินทรีอเมริกายังครอบคลุมไปถึงฮ่องกงและจีน แม้จะไม่ได้จารกรรมข้อมูลของกองทัพจีน ส่วนใหญ่เป็นข้อมูลเกี่ยวกับมหาวิทยาลัย ข้าราชการ และธุรกิจ ซึ่งยิ่งทำให้ทำเนียบขาวหน้าแตกเย็บไม่ติดมากขึ้น เพราะช่วงนี้กำลังประโคมข่าวกล่าวหาจีนว่าได้เปิดฉากโจมตีทางไซเบอร์ครั้งใหญ่ รวมทั้งชอบแฮคข้อมูลลับของสหรัฐฯ และพันธมิตรตะวันตก

         ทันทีที่ หนังสือพิมพ์การ์เดียนของ อังกฤษ และวอชิงตัน โพสต์ ของสหรัฐฯ ร่วมกันเปิดโปงคดีอื้อฉาวที่สุดในรอบทศวรรษ หรือเรียกสั้นๆ ว่า “พริซึมเกต” ชื่อของเอ็ดเวิร์ด สโนว์เดน อดีตเจ้าหน้าที่ฝ่ายคอมพิวเตอร์ของซีไอเอ ซึ่งเพิ่งฉลองวันเกิดครบ 30 ปีเมื่อเร็วๆ นี้ พลันดังเป็นพลุแตก เมื่อยอมเผยโฉมตัวเองว่าเป็นแหล่งข่าวตัวจริงเสียงจริงที่อยู่เบื้องหลังการเปิดโปงข่าวสะเทือนฟ้าสะเทือนดินนี้ เพราะต้องการกระชากหน้ากากของผู้นำวอชิงตันมาตีแผ่ให้โลกได้รับรู้ว่าวอชิงตันได้ละเมิดสิทธิเสรีภาพในการแสดงความเห็น และสิทธิขั้นพื้นฐานของประชาชนมาเนิ่นนานเพียงไร

         ผลการเปิดโปงข่าวนี้ทำให้ชื่อของสโนว์เดนกลายเป็นหนึ่งใน “ตำนานจอมแฉ ” ผู้โด่งดังที่สุดในประวัติศาสตร์ของแดนดินถิ่นอินทรี ตามรอยของแดเนียล เอลล์สเบิร์ก อดีตนักวิเคราะห์ของกองทัพผู้มอบเอกสารลับเพนตากอนซึ่งอัดแน่นด้วยข้อมูลของกระทรวงกลาโหมที่เข้าไปยุ่งเกี่ยวในสงครามเวียดนามให้กับนักข่าวของหนังสือพิมพ์นิวยอร์ก ไทมส์เมื่อปี 2514 หรือดับเบิลยู มาร์ค เฟลท์ อดีตผู้อำนวยการสมทบของเอฟบีไอ เจ้าของฉายา “ดีพโทรท” แหล่งข่าวลับสุดยอดในคดีวอเตอร์เกตของนักข่าวหัวเห็ดของหนังสือพิมพ์เดอะ วอชิงตัน โพสต์ ผู้เพิ่งยอมเผยโฉมตัวเองเมื่อปี 2548 รวมทั้งมอร์เดคาย วานูนู เจ้าหน้าที่ฝ่ายเทคนิคนิวเคลียร์ของอิสราเอลผู้เปิดเผยโครงการผลิตอาวุธนิวเคลียร์ของอิสราเอลเมื่อปี 2529 เป็นเหตุให้ถูกตัดสินจำคุก 18 ปี และพลทหารแบรดลีย์ แมนนิ่ง ที่เปิดโปงเอกสารลับทางการทูตของกระทรวงต่างประเทศสหรัฐฯ หรือวิกิลีกส์


          สโนว์เดนเคยเป็นเจ้าหน้าที่ด้านเทคนิคกับซีไอเอมานาน 4 ปี ก่อนจะลาออกไปทำงานกับบริษัท บูซ อัลเลน แฮมิลตัน หนึ่งในผู้ประกอบธุรกิจด้านให้คำปรึกษาชั้นนำของโลกในตำแหน่งผู้ช่วยฝ่ายเทคนิค มีหน้าที่คอยดูแลระบบคอมพิวเตอร์ของบริษัทคู่สัญญาจากภายนอก โดยเฉพาะเอ็นเอสเอ สโนว์เดนจึงมีโอกาสเรียนรู้วิธีเก็บข้อมูลกิจกรรมการสอดแนมของหน่วยสืบราชการลับเอ็นเอสเอและซีไอเอ ซึ่งได้เก็บรวบรวมข้อมูลจากบทสนทนาและพฤติกรรมของคนจำนวนมาก จอมแฉระดับโลกสารภาพว่าในช่วงแรกๆ เคยเกิดอารมณ์ชั่ววูบอยากจะเปิดโปงข้อมูลของรัฐบาล แต่สุดท้ายก็ยอมเปลี่ยนใจเนื่องจากข้อมูลลับของซีไอเอส่วนใหญ่เกี่ยวข้องกับประชาชน การเปิดโปงเรื่องเหล่านั้นอาจทำให้มีผู้เดือดร้อนจำนวนไม่ใช่น้อย

          แม้จะมีชีวิตสุขสบาย มีอาชีพที่มั่นคงด้วยเงินเดือนราว 2 แสนดอลลาร์ (ราว 6 ล้านบาท) มีครอบครัวที่ตัวเองรัก มีบ้านพักอันอบอุ่นในฮาวาย แต่ท้ายสุด สโนว์เดนก็พร้อมจะสละความสุขเหล่านี้ เพราะไม่อาจฝืนมโนธรรมที่ว่าไม่อาจปล่อยให้รัฐบาลทำลายความเป็นส่วนตัว ละเมิดเสรีภาพในการเข้าถึงอินเทอร์เน็ต และสิทธิเสรีภาพขั้นพื้นฐานของประชาชนทั่วโลก ผ่านการสอดแนมด้วยเครื่องมือที่รัฐแอบสร้างขึ้น แม้จะรู้ว่ารัฐบาลสามารถสร้างหลักฐานเท็จต่างๆ จนอาจทำให้ตัวเองกลายเป็นคนชั่วร้ายเหมือนเช่นที่เคยทำกับหลายคนมาก่อนหน้าแต่ก็ไม่กลัว เพราะได้เลือกทางเดินใหม่แล้ว พร้อมกับแสดงความหวังว่าเอกสารลับชิ้นนี้จะช่วยทำให้ประชาคมโลกตระหนักว่าอยากอยู่บนโลกแบบไหนแน่

            ด้วยความไม่ประมาท สโนว์เดนได้เตรียมการให้พรักพร้อมก่อนจะเผยแพร่เอกสารลับสุดยอดที่ตัวเองแอบสำเนาไว้จากสำนักงานของเอ็นเอสเอในฮาวาย ด้วยการขอลางาน 2 สัปดาห์ อ้างว่าเพื่อไปรักษาโรคลมบ้าหมู จากนั้นก็บินไปยังฮ่องกงพร้อมเอกสารชุดสุดท้ายที่จะกระชากหน้ากากของหน่วยข่าวกรองสหรัฐฯ โดยเจ้าตัวให้เหตุผลที่เลือกฮ่องกงว่าเพราะเป็นดินแดนที่ให้เสรีภาพทางความคิดแก่ผู้มีแนวเห็นไม่ลงรอยกับรัฐบาล และเป็นเพียงสถานที่ไม่กี่แห่งในโลก ที่สหรัฐฯ ไม่สามารถเข้ามาจัดการได้ อย่างไรก็ตาม สโนว์เดนสารภาพว่าอาจไม่ใช่ทางเลือกที่ดีนัก เพราะแม้ฮ่องกงจะเป็นเขตปกครองพิเศษของจีน แต่ก็มีกฎหมายเป็นของตนเอง โดยเฉพาะมีสนธิสัญญาส่งผู้ร้ายข้ามแดนกับสหรัฐฯ ขณะที่รัฐบาลจีนอาจจะสอดมือเข้ามาควบคุมตัวเองไว้ ในฐานะที่เป็นแหล่งข้อมูลที่มีประโยชน์ หรือกระทั่งซีไอเอเองที่สามารถเสาะหาตัวเองได้อย่างง่ายดาย ในเมื่อสถานกงสุลสหรัฐฯ เองก็อยู่ไม่ไกลจากโรงแรมที่พักมากนัก

           ในช่วงแรก จอมแฉระดับตำนานคนใหม่ของโลกยืนยันว่าจะไม่หลบซ่อนตัวหรือหลบหนีแต่อย่างใด เพราะเชื่อว่าไม่ได้ทำอะไรผิด แต่ก็ไม่ประมาทในฐานะที่เคยทำงานกับหน่วยข่าวกรองที่ทรงอิทธิพลที่สุดมานานหลายปี ทำให้รู้ตัวเองว่าทำเนียบขาวและเอ็นเอสเอไม่มีวันปล่อยให้รอดแน่ ดังนั้น สโนว์เดนจึงมักจะเก็บตัวเงียบในห้องพักในโรงแรมที่ฮ่องกง โดยยอมย่างเท้าออกจากห้องพักแค่ 3 ครั้ง นาน 3 สัปดาห์แล้ว และด้วยความระแวงว่าจะถูกสอดแนม จึงต้องนำหมอนไปเรียงไว้ที่ประตูเพื่อป้องกันการถูกดักฟัง และต้องสวมเสื้อมีฮู้ดสีแดงคลุมศีรษะ รวมทั้งต้องหาอะไรบังแลปท็อปตอนเข้าพาสเวิร์ดเพื่อป้องกันการถูกตรวจจับด้วยกล้อง นอกเหนือจากคอยดูข่าวโทรทัศน์และอินเทอร์เน็ต

            สุดท้าย สโนว์เดนซึ่งประกาศว่าตัวเองไม่ได้เป็น “วีรบุรุษ” ในชั่วข้ามคืนอย่างที่สื่อยกย่อง แต่ที่ทำไปก็เพราะต้องการปกป้องเสรีภาพและความต้องการส่วนตัว และไม่ต้องการอยู่ในโลกที่ปราศจากความลับ ก็หายตัวอย่างลึกลับหลังเช็คเอาต์จากโรงแรม เชื่อกันว่าเตรียมยื่นเรื่องขอลี้ภัยการเมืองในประเทศที่สาม ระหว่างนั้น ได้มีการเปิดการลงชื่อในหน้าเว็บไซต์ของทำเนียบขาวเรียกร้องให้อภัยโทษต่อสโนว์เดนด้วย โดยหากมีผู้ลงชื่อสนับสนุนถึง 100,000 คนภายในวันที่ 9 กรกฎาคม ทำเนียบขาวก็มีหน้าที่ที่จะต้องรับพิจารณา ก่อนส่งต่อไปยังผู้เชี่ยวชาญ และมีถ้อยแถลงตอบกลับอย่างเป็นทางการ ตามโครงการ “we the people” หรือ “เราคือประชาชน” ที่ประธานาธิบดีโอบามาดำริไว้ เพื่อเปิดโอกาสให้อเมริกันชนสามารถสื่อสารกับรัฐบาลได้โดยตรง

           ไม่ต้องสงสัยเลยว่า ทำเนียบขาวและหน่วยงานความมั่นคงต่างเต้นเป็นเจ้าเข้า พยายามตอบโต้ทุกวิถีทางอย่างที่เคยทำมาก่อนหน้า รวมทั้งพยายามจะกระชากตัวสโนว์เดนไปลงโทษให้ได้ เริ่มด้วยการทำลายชื่อเสียงของอดีตลูกจ้างซีไอเอด้วยการการประณามว่าเป็นคนทรยศต่อประเทศชาติ มีการส่งฟ้องศาล 3 ข้อหาด้วยกัน โดยสองข้อหาแรกเป็นความผิดภายใต้กฎหมายจารกรรม อีกข้อหาหนึ่งเป็นข้อหาขโมยทรัพย์สินรัฐบาลจากการนำรายละเอียดโครงการลับสุดยอดมาเปิดเผยผ่านสื่อยักษณ์ใหญ่ แต่ละข้อหามีโทษจำคุกสูงสุด 10 ปี ซึ่งการส่งฟ้องนี้เป็นขั้นตอนแรกของการเดินเรื่องให้ฮ่องกงส่งตัวสโนว์เดนกลับประเทศในฐานะผู้ร้ายข้ามแดน

           นอกจากนี้ ยังมีการกุข่าวว่าเป็นสายลับให้กับจีน การสั่งยกเลิกพาสปอร์ตเพื่อสกัดกั้นไม่ให้เดินทางไปลี้ภัยในประเทศที่สาม พร้อมกับขอร้องให้พันธมิตรในยุโรปช่วยกักตัวหากพบว่าเดินทางไปรอเปลี่ยนเครื่องบิน หรือเปลี่ยนแผนใช้ประเทศนั้นเป็นสถานที่ลี้ภัย หลังจากมีข่าวว่าสโนว์เดนได้เดินทางออกจากฮ่องกงด้วยเครื่องบินของแอโรว์ฟลอต ไปลงที่กรุงมอสโก เพื่อเตรียมตัวเดินทางต่อไปคิวบาก่อนจะไปขอลี้ภัยในเอกวาดอร์ ซึ่งได้อนุญาตให้จูเลียน อัสซานจ์ ผู้ก่อตั้งวิกิลีกส์ เข้าลี้ภัยในสถานเอกอัครราชทูตเอกวาดอร์ในอังกฤษเป็นเวลานานถึงหนึ่งปีเต็มแล้ว โดยกระทรวงต่างประเทศเอกวาดอร์ได้ทวีตผ่านทวิตเตอร์ว่า ได้รับคำร้องขอลี้ภัยของสโนว์เดนแล้ว

           ผลที่เกิดขึ้นตามมาจากการแฉแผนลับสะท้านโลกก็คือ พล.อ.คีธ อเล็กซานเดอร์ ผู้อำนวยการเอ็นเอสเอต้องไปให้การต่อหน้าคณะกรรมาธิการข่าวกรองวุฒิสภาเป็นครั้งแรกยืนยันว่า โครงการนี้สามารถสกัดกั้นการก่อการร้ายได้หลายครั้งทั้งในและต่างประเทศ พร้อมกับรับปากว่าจะยอมเผยแผนป้องกันการก่อการร้ายกว่า 20 แผนจากผลพวงของการสอดแนมลับ ต่อที่ประชุมลับวุฒิสภา ขณะที่โรเบิร์ต มุลเลอร์ ผู้อำนวยการเอฟบีไอคุยโวว่า หากมีระบบสอดแนมเช่นนี้นานแล้ว อาจช่วยสกัดเหตุวินาศกรรม 11 กันยายน 2544 ได้ด้วยซ้ำ

          ปัญหาโต้เถียงในขณะนี้ ที่คงยากหาข้อยุติได้ง่ายๆ ภายในเร็ววันก็คือ อเมริกันชนจะต้องสละความเป็นส่วนตัวหรือไม่หากอยากจะมีชีวิตอยู่ปลอดภัยไร้กังวล รวมไปถึงการถกในประเด็นที่ว่าแท้ที่จริงแล้วสโนว์เดนเป็นพระเอกหรือผู้ร้าย เป็นผู้รักชาติหรือคนทรยศ เป็นคนที่ทำให้อเมริกันปลอดภัยน้อยลง หรือช่วยให้ตาสว่างมากขึ้น


วันพฤหัสบดีที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2558

Hacker ที่มีชื่อเสียงและประวัติ

Hacker คืออะไร
        Hacker คือ ผู้ที่มีความรู้ความเข้าใจในระบบคอมพิวเตอร์อย่างสูงมาก ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเครือข่าย ระบบปฏิบัติการ หรือเรื่องของทางจิตวิทยา พวกเขามีความรู้ทางด้านนี้สูงมาก สามารถเข้าใจว่า มันมีช่องโหว่ตรงไหน หรือสามารถไปค้นหาช่องโหว่ได้จากตรงไหน เมื่อก่อนภาพลํกษณ์ของ Hacker จะเป็นพวกชั่วร้ายชอบขโมยข้อมูล หรือ ทำลายให้เสียหาย แต่ปัจจุบันคำว่า Hacker หมายถึง Security Professional ที่คอยใช้ความสมารถช่วยตรวจตราระบบ และแจ้งเจ้าของระบบว่ามีช่องโหว่ตรงไหนบ้าง เรียกง่ายๆว่า มีจริยธรรมในความเป็น Hacker 

ตัวอย่าง Hacker 


1. Jonathan James
        ตอนที่หมอนี่โดนจับ ทั่วทั้งอเมริกาแตกตื่น เพราะหมอนี่อายุเพียง 15 ปีเท่านั้น Jonathan James หรือชื่อรหัสในโลก Hacker ก็คือ comrade ได้สร้างชื่อด้วยการเจาะระบบมากมาย ตั้งแต่บริษัทโทรศัพท์ BellSouth ไปจนถึงหน่วยงาน DTRA ในกระทรวงกลาโหมสหรัฐ และที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในปี 1999 หมอนี่ Hack เข้าไปฝังตัว Backdoor ใน Nasa ซึ่งทำให้อ่านข้อมูลลับได้มากมายรวมไปถึงขโมยโปรแกรมที่ทาง Nasa พัฒนาขึ้นด้วยเงินมหาศาลถึง 1.7 ล้านดอลล่าร์สหรัฐไปหน้าตาเฉย ซึ่งในภายหลังทาง Nasa ต้องปิดระบบถึงสามสัปดาห์เพื่อแก้ไข ทำให้สูญเสียเงินไปอีก 41,000 $ ปล. หมอนี่บอกกับศาลว่า เค้าอยากได้โปรแกรมมาเพื่อฝึกฝีมือภาษา C ของตัวเองเท่านั้น แต่พอขโมยมาได้ ก็กลับถามว่าโปรแกรมห่วยๆนั่นมีค่าถึง 1.7 ล้านดอลล่าร์



 

2. Adrian Lamo


        เป็นอีกหนึ่ง Hacker ที่แสบไม่แพ้กัน ซึ่งคนที่โดน Adrian Lamo เจาะเข้าไป ก็มีตั้งแต่ หนังสือพิมพ์ The New York Times , Microsoft , Yahoo , Bank of America , CitiGroup และ Cingular ซึ่งที่ๆสร้างชื่อเสียงที่สุดให้เขาก็คือ การที่เขาเจาะเข้าไปใน The New York Times และเอาชื่อตัวเองเข้าไปใส่ไว้ใน แหล่งข่าวที่เชื่อถือได้ระดับสูงของหนังสือพิมพ์ The New York Times และใช้บัญชีของนักเขียนชื่อดัง LexisNexis ในการค้นคว้างานวิจัยจากฐานข้อมูลของ The New York Times อีกด้วย หลังจากที่ใช้กรรม ไปมากมาย ตอนนี้ Adrian Lamo ทำงานเป็นนักข่าว และนักพูด เกี่ยวกับวงการ Hacker และพึ่งจะได้รับรางวัลนักข่าวยอดเยี่ยมมาไม่นานนี้เอง



3. Kevin Mitnick


         นี่คือชายที่ครั้งหนึ่ง กระทรวงยุติธรรมของสหรัฐเคยหมายหัวไว้ว่า “อาชญากรทางคอมพิวเตอร์ที่ทางสหรัฐต้องการตัวมากที่สุด” เพราะเขาคือคนแรกที่ทำให้คำว่า Hacker โด่งดังไปทั่วโลกจนถึงทุกวันนี้ ผลงานของ Mitnick อาจจะเก่าไปซักหน่อย เพราะพี่ท่านเล่น Hack มาตั้งแต่ช่วงปี 70’ กับผลงานการเจาะระบบ Punch Card ของ Los Angeles Bus System ทำให้เขาสามารถขึ้นรถเมล์ได้ฟรีตั้งกะอายุ 12. เข้าไปป่วนระบบโทรศัพท์ทำให้โทรทางไกลได้ฟรีๆ จากนั้นก็ ขโมยข้อมูลของบริษัทคอมพิวเตอร์ชื่อดังอย่าง DEC (Digital Equipment Corporation) ตามด้วยหน่วยงานด้านการรักษาความปลอดภัยแห่งชาติ โอ๊ย อีตานี่แสบๆๆ หลังจากที่ไปรับกรรมในคุกอยู่สองปีครึ่ง ตอนนี้เค้าก็กลายเป็น Hacker ที่หลายๆบริษัทขอความช่วยเหลือในการตรวจสอบระบบครับ(และสำคัญมากเป็นเพราะอี ตานี่เองที่ทำให้โลกเราได้รู้จัก White-Hat สาดเลือดเอเชียที่เก่งกาจ) 



4. Kevin Poulsen


         มีชื่อเรียกสวยเก๋ในวงการแฮกเกอร์ว่า Dark Dante, ผลงานเด่นๆของ Kevin Poulsen ก็คือการที่เค้าเจาะระบบโทรศัพท์ของสถานีวิทยุ KIIS-FM ใน LA ทำให้เค้าได้รางวัลรถ Porsche มาครอง และที่เด่นๆ ก็คือ อีตานี่แหย่หนวดเสือไป เจาะระบบฐานข้อมูลของ FBI ครับ และที่สำคัญก็คือ ระบบดักฟังของ FBI ครับ หลังจากที่ Kevin Poulsen โดนซิวไป 5 ปี ตอนนี้เค้าก็กลายเป็น นักข่าวอาวุโสของสำนักข่าว Wired News และคอยช่วยเหลือในการไล่จับพวก BlackHat คนอื่นๆอีกมากมาย





5. Robert Tappan Morris


         เค้าคือลูกชายของอดีตเจ้าหน้าที่วิทยา ศาสตร์ของ NSA (National Security Agency) แท้ๆแต่ดันใช้ความรู้ในทางที่ผิดก่อความเดือดร้อนให้ชาวบ้านไปทั่ว เพราะหมอนี่แหละครับคือคนแรกที่สร้าง Worm ขึ้นมา และทำให้ระบบเครือข่ายพังทลายไปหลายวันเลยทีเดียว ขณะที่ Morris กำลังเรียนอยู่ที่ Cornell เค้าอยากรู้ว่าอินเทอร์เน็ตมันใหญ่ขนาดไหน เค้าก็เลยสร้างโปรแกรมที่มันจะเจาะไปได้เรื่อยๆ ไปๆมาๆ นั่นกลายเป็นเวิร์มตัวแรกของโลกที่ชื่อว่า MorrisWorm หลังจากนั้นคอมพิวเตอร์กว่า 6,000เครื่องทั่วโลกก็เจ๊งยับ เพราะเวิร์มของหมอนี่ พอโดนจับ Morris ก็โดนลงโทษจำคุก 3 ปีและโดนค่าปรับ 10,500 เหรียญและ ทำงานช่วยเหลือสังคมอีก 400 ชม.(ลงโทษขนาดนี้ แรงไปไหมพี่ เบากว่านี้ได้อีกนะ ) และหลังจากที่รับกรรมไปแล้ว ตอนนี้ Robert Morris ก็เป็นอาจารย์สอนหนังสืออยู่ที่ MIT และมาต่อกันด้วย ตำนานฝั่งสีขาว White-Hat Hacker





6. Stephen Wozniak 

         พูดถึง Apple Computer ใครๆก็อาจจะนึกถึง Steve Jobs ชายหนุ่มหัวแอบล้านซึ่งหลายๆคนรอคอย KeyNote ของเค้าในงาน MacWorld Conference ทุกปี แต่หารู้ไม่ว่าจริงๆแล้วถ้า Apple Computer ขาดเค้าคนนี้ไปล่ะก็ มันจะไม่มีวันนี้แน่นอน เพราะ Steve Wozniak คือผู้่ร่วมก่อตั้ง Apple Computer ครับ การเป็น Hacker ช่วงแรกของเค้าอยู่ที่ เค้าได้ไปอ่านบทความเรื่องการเจาะระบบโทรศัพท์ในหนังสือ Esquire เข้า หลังจากที่คุยกับ Steve Jobs พวกเขาก็ได้คิดค้น BlueBox เครื่องเจาะระบบโทรศัพท์ที่ทำให้คุณสามารถ โทรทางไกลได้ฟรีๆ (เอาเข้าไป) มีครั้งหนึ่ง Steve Wozniak ได้แอบใช้เครื่อง BlueBox โทรหาพระสันตปาปา โดยปลอมตัวว่าเป็น Henry Kissinger รัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศของสหรัฐในตอนนั้น แสบจริงๆ สำหรับช่วงแรกของการก่อตั้ง Apple Computer. Wozniak ได้ขายเครื่องคิดเลขแสนแพงของเขา และ Jobs ได้ขายรถแวนของเขา เพื่อเป็นทุนในการก่อตั้ง Apple Computer ครับ และสุดทเครื่อง Apple I ก็วางตลาด และทั้งคู่ได้ขายเครื่องนี้ในราคาเครื่องละ 666.66$




7. Tim Berners-Lee

         ต้องขอบอกว่า ถ้าไม่มีอีตานี่โลกเราจะไม่มีคำว่า World Wide Web ครับ เพราะเค้าคนนี้คือ คนที่ คิดค้น www ขึ้นบนโลก. Tim Berners-Lee เป็นลูกของสองนักคณิตศาสตร์ระดับโลก Convey และ ?Mary Berners-Lee ซึ่งเป็นทีมสร้างเครื่องคอมพิวเตอร์ Manchester Mark 1 เครื่องคอมพิวเตอร์รุ่นแรกๆของโลก ในปี 2532 Tim Berners-Lee ทำงานเป็น FreeLance อยู่ที่ CERN (ศูนย์วิจัยเรื่องนิวเคลียร์ของยุโรป) ซึ่งเป็นเครือข่ายอินเทอร์เน็ตที่ใหญ่ที่สุดของยุโรปเขาได้คิดค้นระบบข้อ ความหลายมิติ (Hypertext) ขึ้นมา ซึ่งเมื่อมันผนวกเข้ากับ TCP และ DNS ล่ะก็ มันจะเป็นความสุดยอดของ HyperText แน่นอน และหลังจากนั้นมันจึงกลายเป็น ?World Wide Web ครับ เมื่อปี 2548 เขาได้รับรางวัล 1 ในร้อยบุคคลที่ทรงอิทธิพลต่อคนทั้งโลกมากที่สุด และในปี 2550 Tim Berners-Lee ได้รับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ฝ่ายหน้า จากสมเด็จพระบรมราชินีเอลิซาเบทที่สอง เป็นการส่วนพระองค์ ทำให้ตอนนี้เค้ากลายเป็น Sir Tim Berners-Lee ไปแล้วครับ ผลงานการ Hack ของ Tim Berners-Lee ไม่เป็นที่ปรากฏ แต่ว่า เรื่องนี้ก็ทำให้เค้าโดนไล่ออกจากมหาวิทยาลัย Oxford ล่ะครับ ปล. เว็บไซต์แรกของโลกคือ http://info.cern.ch สร้างขึ้นโดย Tim Berners-Lee นี่แหละครับ 




8. Linus Torvalds

         บิดาผู้ให้กำเนิด Linux ระบบปฏิบัติการ Unix ที่คนนิยมกันมากที่สุดในโลกขณะนี้ ในปี 1991 ขณะที่เขายังเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัย เฮลซิงกิ เขาได้สร้าง linux kernel ขึ้นจากพื้นฐานของระบบปฏิบัติการ Minix ขึ้น หลังจากนั้น เขาก็รวบรวมสมัครพรรคพวกมาช่วยกันเขียน และช่วยกันพัฒนาต่อกันทางอินเทอร์เน็ต โดยที่เขาเป็นคนรวบรวม ตรวจสอบ และแจกจ่ายงานไปยังโปรแกรมเมอร์ต่างๆทั่วโลก รวมถึงแจกจ่ายให้คนช่วยกันเอาไปใช้ฟรีๆอีกด้วย จุดที่น่าสนใจของโครงการนี้ก็คือ ทุกคนที่มาร่วมทำนั้น ทุกคนยินดีช่วยโดยไม่ได้ค่าตอบแทนแต่อย่างใด และมีเงื่อนไขต่อด้วยอีกว่า เมื่องานเสร็จแล้วจะต้องเผยแพร่ตัว Source Code แก่สาธารณะโดยไม่คิดมูลค่าเช่นเดียวกันครับ ทุกวันนี้ Linux Torvalds ทำงานอยู่ที่บริษัท Transmeta บริษัทที่ทำหน้าที่ออกแบบ CPU และยังคงดำรงตำแหน่ง ผู้นำของบรรดาผู้ใช้งานและพัฒนา Linux ทั้งโลกครับ ยิ่งไปกว่านั้น หนังสือ Times Magazine ได้ยกให้เค้าเป็น หนึ่งคนในหนังสือชื่อ 60 Years of Hero 


9. Richard Stallman

           ผู้ริเริ่มโครงการ GNU (อ่านว่า กนู นะครับ) และมูลนิธิซอฟท์แวร์เสรี รวมไปถึงผู้ริเริ่มแนวคิดเรื่อง Copyleft (ฮ่า) และเป็นผู้ร่างสัญญาอนุญาติให้ใช้ได้ทั่วไป และต่อในภายหลัง สัญญานี้ได้กลายเป็น บรรทัดฐานซอฟท์แวร์เสรีจำนวนมาก ความเป็นแฮกเกอร์ของเค้าโผล่มาตอนที่เค้าทำงานอยู่ที่ MIT ในฐานะของ Staff Computer ทุกครั้งที่มีระบบอะไรใหม่ๆติดตั้งเข้าไปและมีรหัสผ่านกำกับอยู่ Richard Stallman จะหาทางแฮกและปลดรหัสผ่านออกทุกครั้ง ยังครับยังไม่พอ พอแฮกระบบเสร็จก็แฮก Printer ต่อเพื่อพิมพ์ข้อความบอกชาวบ้านว่าระบบไหนอยู่ที่ไหน ปลดรหัสผ่านอะไรไปแล้วบ้าง แสบจริงๆ 





10. Tsutomu Shimomura

        สุดยอด White-Hat สายเลือดเอเชีย Tsutomu Shimomura ได้รับชื่อเสียงอย่างโด่งดัง ในฐานะที่ร่วมมือกับ John Markoff ในการช่วยเหลือ FBI ไล่จับสุดยอดแฮกเกอร์ของโลกในยุคนั้น นั่นก็คือ Kevin Mitnick นั่นเอง Tsutumu ทำงานเป็นนักวิจัยอยู่ที่ SDSC (San Diego Supercomputer Center) ซึ่งจริงๆแล้วก็โดนอีตา Kevin เข้ามาแฮกเอาโปรแกรมและเมล์สำคัญๆไป ดังนั้นด้วยคาวมแค้นเขาจึงร่วมมือกับ FBI ไล่จับ Kevin Mitnick ซึ่งต่อมาเมื่อเขาจับได้ เขาก็เลยเขียนหนังสือชื่อ Takedown เป็นเรื่องราวของการไล่จับ Kevin Mitnick ซึ่งต่อมาได้ถูกนำมาสร้างเป็นภาพยนตร์เรื่อง TakeDown ด้วย

ที่มา : http://www.unigang.com/Article/6312

วันเสาร์ที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2558

ผัก สมุนไพร รักษาโรค

9 ผัก สมุนไพร รักษาโรค
       อาหารที่ผู้บริโภคเห็นความสำคัญน้อยที่สุดอย่าง ผัก นั้น กลับกลายเป็นอาหารที่มีคุณค่ามากชนิดหนึ่ง เพราะมีสารอาหารที่ร่างกายต้องการ เช่น เกลือแร่ วิตามิน อยู่เป็นจำนวนมาก และที่สำคัญคือ สารบางอย่างที่มีคุณค่าต่อร่างกาย จะมีเฉพาะใน ผัก เท่านั้น เห็นที่ว่าจะไม่ลิ้มชิมรส ผัก ก็คงจะไม่ดีต่อสุขภาพนัก
       นอกจากใน ผัก จะมีคุณค่าต่อร่างกายแล้ว ผัก ยังช่วยรักษาโรคได้อย่างไม่น่าเชื่อ บางทียาที่หมอให้ ยังไม่อาจสู้ทานพืช ผัก เหล่านี้เลย เรามาดูกันว่ามี ผัก อะไรที่ช่วยรักษาโรคได้อย่างน่ามหัศจรรย์ บ้าง

iStock_000048557098_Small
1. ขี้เหล็ก
       สำหรับคนสมัยใหม่ อาจจะไม่ชอบทานสักเท่าไรนัก แต่ถ้าเป็นคนสมัยก่อน รุ่นคุณพ่อคุณแม่เราขึ้นไปแล้ว บอกเลยว่าอาหารที่ทำด้วย ผัก ขี้เหล็กจัดเป็นอาหารรสเลิศถูกปากมากเลยทีเดียว
และนอกจากใช้ประกอบอาหารแล้ว ใบขี้เหล็กสามารถรับประทานเป็นยาชั้นดี เพราะใบขี้เหล็กมีทั้งวิตามินเอ วิตามินซี เส้นใย แคลเซียม ฟอสฟอรัส เหล็ก วิตามินบี 1 และไนอาซินสรรพคุณทางยาของใบขี้เหล็กมีสารชนิดหนึ่งออกฤทธิ์ต่อประสาททำให้นอนหลับดี แก้ท้องผูกได้ดี และบำรุงร่างกายให้กระชุ่มกระชวยได้

Banana flower
2. หัวปลี
       หัวปลี ที่เป็นส่วนดอกของต้นกล้วย ที่หลายคนไม่ชอบทาน หารู้ไม่ว่าใบหัวปลีนั้นมีธาตุเหล็ก ช่วยบำรุงเลือด แก้โลหิตจาง และยังคงลดน้ำตาลในเลือดได้ รวมถึงยังสามารถทานแก้โรคเกี่ยวกับลำไส้ได้เป็นอย่างดี

Bitter Cucumber, Balsum Pear , Bitter gourd (Momordica charantia
3. มะระขี้นก
       มะระขี้นก เป็น ผัก พื้นบ้านของไทย ที่คนไทยนิยมนำยอดอ่อนและผลอ่อนมาปรุงเป็นอาหารโดยนำมาลวกเป็น ผัก จิ้ม แต่หลายคนก็ไม่ชอบทานนัก เพราะว่าขม มีผิวขรุขระ แต่ว่ามะระขี้นกนี้ เป็นยาชนะเบาหวานชั่นยอดเลยนะ เพราะมะระขี้นกนี้ ช่วยลดน้ำตาลในเลือด อันเป็นสาเหตุของเบาหวาน และสามารถชะลอการเกิดต้อกระจกซึ่งเป็นอาการแทรกซ้อนของโรคเบาหวานได้รูปแบบวิธีทานที่ให้ผลลดน้ำตาลในเลือดก็ไม่ซับซ้อน คือสามารถใช้ได้ทั้งน้ำคั้น ชงเป็นชา หรือกินในรูปแบบของแคปซูล ผงแห้งก็ได้

iStock_000043212934_Small
4. ผัก ตำลึง
       ตำลึงเป็น ผัก ที่นิยมนำยอดมาลวกหรือนึ่ง เป็น ผัก จิ้มน้ำพริก หรือนำยอดอ่อน ใบอ่อนมาปรุงเป็นอาหารได้หลากหลาย
คำลึงจัดว่ามีสรพพคุณทางยาที่เยอะมาก อย่างผลอ่อนที่ก้านดอกเริ่มจะหลุดกินสดได้กรอบอร่อย ไม่ขม เป็นยาบำรุงสุขภาพ รักษาปากเป็นแผล ได้
หลายคนใช้ตำลึงในการรักษาโรคผิวหนังพวกผื่นแพ้ ตำแย หมามุ่ย หนอนคัน บุ้ง หอยคัน มดคันไป ผื่นคันจากน้ำเสีย ผื่นคันจากละอองข้าว ผื่นคันชนิดที่ไม่รู้สาเหตุ เริม งูสวัด สุกใส หิด สิว ฝีหนอง เป็นต้นบางคนก็ทานตำลึง เพื่อระบายท้อง ลดการอึดอัดท้องหลังกินอาหารเนื่องจากมีสารช่วยย่อยแป้ง และช่วยแก้ร้อนใน เป็นต้นและที่สำคัญคือตำลึงเป็นยาพื้นบ้านใช้รักษาเบาหวาน ทั้งราก เถา ใบ ใช้ได้หมด มีสูตรตำรับหลากหลาย และในตำราอายุรเวทก็มีการใช้เป็นยารักษาเบาหวานมานานนับพันปี ชาวเบงกอลในอินเดียใช้ตำลึงเป็นยาประจำวันสำหรับแก้โรคเบาหวาน
5. ผักเชียงดา
      ผักเชียงดา เป็นพืชผักไม้เลื้อย ทางภาคเหนือ เถาสีเขียว ทุกส่วนมีน้ำยางสีขาวเหมือนน้ำนม ใบ เดี่ยว รูปกลมรี ท้องใบเขียวแก่กว่าหลังใบ ใบออกตรงข้อเป็นคู่ๆยอดอ่อนและใบอ่อนของผักเชียงดา นำมากินเป็นผัก มีรสขมอ่อนๆ และมีสารต้านอนุมูลอิสระสูงมาก และยังเป็นผักที่หมอยาพื้นบ้านใช้เป็นผักเพิ่มกำลังในการทำงานหนักและใช้ เป็นยารักษาเบาหวานนอกจากนี้ผักเชียงดาสามารถนำไปใช้ลดน้ำหนัก เพราะว่าผักเชียงดาช่วยให้มีการนำน้ำตาลไปเผาผลาญมากกว่าการนำไปสร้างเป็น ไขมันสะสมอยู่ตามส่วนต่างๆ ของร่างกาย และพบมีรายงานการศึกษาว่าผักเชียงดาสามารถช่วยลดน้ำหนักได้จริง

fresh carrots isolated on white background
6. แครอท
       นับเป็นผักที่ให้เบต้าแคโรทีสูง ซึ่งสารที่พบในแครอทนี้จะช่วยเพิ่มภูมิต้านทานให้แก่ร่างกาย มีคุณสมบัติเป็นยาฆ่าเชื้อ ซึ่งจะออกฤทธิ์ในการรักษาไข้หวัด ไอ เจ็บคอ ปอดอักเสบ ลดการอักเสบและบวมได้ ถ้าใช้ทาผิวภายนอกช่วยลดอาการแสบร้อนของผิวเนื่องจากโดนแดดเผาไหม้ ลดฝ้าและรอยด่างดำลงได้นอกจากนี้การทานแครอทยังช่วยป้องกันลดมะเร็งปอด มะเร็งมดลูก กระเพาะอาหารและเต้านม ช่วยฟื้นฟูผู้ป่วยในระยะพักฟื้น ลดความอ่อนเพลียเหนื่อยง่าย รักษาโรคลำไส้อักเสบ ช่วยเสริมสร้างเม็ดเลือดขาว บรรเทาอาการข้ออักเสบ ช่วยล้างพิษในตับ บำรุงสายตา แก้ตาฝ้าฟาง ตาบอดกลางคืน ช่วยขับปัสสาวะ ช่วยย่อยอาหาร ขับพยาธิไส้เดือน บำรุงผิว ชะลอความชราของผิวพรรณได้ดีด้วย

Long beans
7. ถั่วฝักยาว
       รู้หรือไม่ว่าผักที่มีวิตามีนซีสูงที่ช่วยในการดูดซึมธาตุเหล็กได้ดี ที่จะมีผลช่วยให้เลือดดี ผิวพรรณสวยถั่วฝักยาวมีกากใยอาหารจำนวนมาก ซึ่งกากใยชนิดนี้จะทำปฏิกิริยากับกรดในกระเพาะ ได้สารจำพวกเจลลาตินเคลือบที่กระเพาะ ทำให้รู้สึกอิ่มเร็วอิ่มนาน สารชนิดนี้จะช่วยลดคอเลสเตอรอลได้เพราะว่าจะไปจับกับกรดน้ำดี เมื่อน้ำดีไม่พอใช้ในร่างกายก็ต้องสร้างขึ้นมาใหม่ ซึ่งการใช้น้ำดีต้องใช้คอเลสเตอรอลเป็นวัตถุดิบ ด้วยเหตุนี้จึงสามารถช่วยลดคอเลสเตอรอลลงได้ ถ้านำถั่วฝักยาวไปต้มเอาน้ำดื่มจะช่วยรักษาบำรุงไต

iStock_000003378314_Small
8. กะหล่ำปลี
       เป็นผักที่ได้รับการยกย่องว่าสามารถป้องกันรักษามะเร็งได้หลายชนิด มีวิตามินซีสูง มีสารอาหารกลูตามีนช่วยกระตุ้นให้กระเพาะอาหารสร้างเยื่อบุผนังกระเพาะได้ รวดเร็ว ทำให้แผลในกระเพาะอาหารและลำไส้หายได้เร็ว จึงใช้เป็นอาหารในการรักษาโรคกระเพาะและป้องกันมะเร็งลำไส้ได้ดีอีกทั้ง กะหล่ำปลียังช่วยเสริมสร้างระบบภูมิ คุ้มกันในร่างกาย ช่วยล้างพิษในตับ ช่วยให้ระบบน้ำดีทำงานได้ปกติ ลดระดับน้ำตาลในเลือด โดยใช้น้ำคั้นหรือกินสด (แต่ปริมาณในแต่ละวันไม่มาก) ใช้ใบสดประคบเต้านมแม่ลูกอ่อนช่วยลดความปวดจากการคัดเต้านมลงได้


2091014-086
9. ผักกาดขาว
       ถือเป็นเจ้าแห่งเส้นใยและโฟเลท ซึ่งเป็นสารธรรมชาติที่มีบทบาทในการควบคุมความเป็นปกติของชีวิตทารกที่อยู่ ในครรภ์มารดา นั่นคือการสร้างระบบประสาทและ DNA อีกทั้งเส้นใยของผักกาดขาวช่วยกระตุ้นการเคลื่อน ไหวของลำไส้ ช่วยในการย่อยอาหาร ป้องกันอุจจา ระแข็ง เนื่องจากเส้นใยไม่จับกันแน่นและสามารถถนอมน้ำไว้จึงทำให้การขับถ่ายเป็นไป อย่างปกติไม่เพียงแค่นี้ เพราะผักกาดนั้นมีรสหวานไม่ร้อนไม่เย็น ช่วยลดอาการอึดอัดบริเวณหน้าอก ช่วยให้จิตใจผ่อนคลาย ช่วยลดความเครียด ช่วยบรรเทาอาการนอนไม่หลับ ลดการเต้นของหัวใจ ช่วยเพิ่มสมรรถภาพในการทำงานของไต สารพัดประโยชน์ และเป็นได้สารพัดยาเลยล่ะค่ะ สำหรับผักแต่ละชนิด บางทีสิ่งเหล่านี้อาจอยู่ใกล้ตัวเรามากเกินไปจนหลายคนมองข้ามคุณค่าที่น่า ทึ่งไป อย่าลืมชายตามองพืชผักกันบ้าง แล้วคุณจะได้ฟื้นฟูสุขภาพจากอาหารนานาประดยชน์อย่างพืชผักเหล่านี้

ที่มา :  http://health.mthai.com/howto/thai-medicine/9818.html

วันพฤหัสบดีที่ 22 ตุลาคม พ.ศ. 2558

ความรู้ : ความรู้เกี่ยวกับอาเซียน


  


          อาเซียน (ASEAN) เป็นการรวมตัวกันของ  10  ประเทศ   ในทวีปเอเชียตะวันออก
เฉียงใต้  ผู้นำอาเซียนได้ร่วมลงนามในปฎิญญาว่าด้วย  ความร่วมมืออาเซียนเห็นชอบ ให้จัดตั้ง  ประชาคมอาเซียน (ASEAN Community)    คือ   เป็นองค์กรระหว่างประเทศ ระดับภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้   มีจุดเริ่มต้นโดยประเทศไทย   มาเลเซีย และฟิลิปปินส์   ได้ร่วมกันจัดตั้ง   สมาคมอาสา (Association of South East Asia) เมื่อเดือน ก.ค.2504   เพื่อการร่วมมือกันทาง เศรษฐกิจ  สังคมและวัฒนธรรม  แต่
ดำเนินการ ไปได้เพียง 2 ปี ก็ต้องหยุดชะงักลง  เนื่องจากความผกผันทางการเมือง
ระหว่างประเทศอินโดนีเซียและประเทศมาเลเซีย จนเมื่อมีการฟื้นฟูสัมพันธ์ทางการฑูต
ระหว่างสองประเทศ
          จึงได้มีการแสวงหาหนทางความร่วมมือกันอีกครั้ง และสำเร็จภายในปี พ.ศ. 2563 (ค.ศ. 2020) แต่ต่อมาได้ตกลงร่นระยะเวลาจัดตั้งให้เสร็จในปี พ.ศ. 2558 (ค.ศ. 2015) ในปีนั้นเองจะมีการเปิดกว้างให้ประชาชนในแต่ละประเทศสามารถเข้าไปทำงานใน ประเทศ  อื่น ๆ ในประชาคมอาเซียนได้อย่างเสรี   เสมือนดังเป็นประเทศเดียวกัน
         ซึ่งจะมีผลกระทบต่อการประกอบอาชีพและการมีงานทำของคนไทย ควรทำความเข้าใจในเรื่องนี้จึงเป็นสิ่งสำคัญสำหรับทุกคน


ความเป็นมาของอาเซียน
              สมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวัน ออกเฉียงใต้  (Association  of  Southeast  Asian  Nations  หรือ  ASEAN)  ก่อตั้งขึ้นโดยปฏิญญากรุงเทพ  (Bangkok  Declaration)  หรือ  ปฏิญญาอาเซียน  (ASEAN  Declaration)  เมื่อวันที่  8  สิงหาคม  2510  โดยมีประเทศสมาชิก  5  ประเทศ  ประกอบด้วย  อินโดนีเซีย  มาเลเซีย  ฟิลิปปินส์  สิงคโปร์  และไทย
เพื่อส่งเสริมความร่วมมือทางด้านการเมือง  เศรษฐกิจและสังคม  ของประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้   ต่อมามีประเทศสมาชิกเพิ่มเติม  ได้แก่  บรูไนดารุส-ซาลาม   เวียดนาม   ลาว   เมียนมาร์  และกัมพูชา  ตามลำดับ   จึงทำให้ปัจจุบันอาเซียน   มีสมาชิก  10  ประเทศ

“อาเซียน” สู่การเป็นประชาคมอาเซียน  ในปี 2558
              ปัจจุบัน  บริบททางการเมือง  เศรษฐกิจ  และสังคม   รวมทั้งความสัมพันธ์ระหว่างประเทศได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก      ทำให้อาเซียนต้องเผชิญ สิ่งท้าทายใหม่ๆ    อาทิ    โรคระบาด    การก่อการร้าย   ยาเสพติด  การค้ามนุษย์  สิ่งแวดล้อม  ภัยพิบัติ  อีกทั้ง  ยังมีความจำเป็นต้องรวมตัวกันเพื่อเพิ่มอำนาจต่อรองและขีดความสามารถทางการ แข่งขันกับประเทศในภูมิภาคใกล้เคียง  และในเวทีระหว่างประเทศ  ผู้นำอาเซียนจึงเห็นพ้องกันว่า  อาเซียนควรจะร่วมมือกันให้เหนียวแน่น  เข้มแข็ง  และมั่นคงยิ่งขึ้น  จึงได้ประกาศ  “ปฏิญญาว่าด้วยความร่วมมือในอาเซียน  ฉบับที่ 2”  (Declaration  of  ASEAN  Concord  II)  ซึ่งกำหนดให้มีการสร้างประชาคมอาเซียนที่ประกอบไปด้วย  3  เสาหลัก ได้แก่ 
              -  ประชาคมการเมืองและความมั่นคงอาเซียน (ASEAN Political and Security Community - APSC) มุ่งให้ประเทศกลุ่มสมาชิกอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุข แก้ไขปัญหาระหว่างกันโดยสันติวิธี มีเสถียรภาพและความมั่นคงรอบด้าน เพื่อความมั่นคงปลอดภัยของเหล่าประชาชน
              -  ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (ASEAN Economic Community - AEC) มุ่งเน้นให้เกิดการรวมตัวกันทางเศรษฐกิจ และความสะดวกในการติดต่อค้าขายระหว่างกัน เพื่อให้ประเทศสมาชิกสามารถแข่งขันกับภูมิภาคอื่นๆได้โดย
              -   ประชาคมสังคมและวัฒนธรรมอาเซียน (ASEAN Socio - Cultural Community - ASCC) มุ่งหวังให้ประชากรอาเซียนมีสภาพความเป็นอยู่ที่ดี มีความมั่นคงทางสังคม มีการพัฒนาในทุกๆ ด้าน และมีสังคมแบบเอื้ออาร โดยจะมีแผนงานสร้างความร่วมมือ 6 ด้าน คือ การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ การคุ้มครองและสวัสดิการสังคม สิทธิและความยุติธรรมทางสังคม ความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อม การสร้างอัตลักษณ์อาเซียน การลดช่องว่างทางการพัฒนา
              ซึ่งต่อมาผู้นำอาเซียนได้ตกลงให้มีการจัดตั้งประชาคมอาเซียนให้แล้วเสร็จเร็วขึ้นมาเป็นภายในปี 2558

ประชาคมอาเซียน คือ
              ประชาคมอาเซียน  (ASEAN  Community)  คือ  การรวมตัวของกลุ่มประเทศสมาชิกอาเซียนให้เป็นชุมชนที่มีความแข็งแกร่ง  สามารถสร้างโอกาสและรับมือส่งท้าท้าย  ทั้งด้านการเมืองความมั่นคง  เศรษฐกิจ  และภัยคุกคามรูปแบบใหม่  โดยสมาชิกในชุมชนมีสภาพความเป็นอยู่ที่ดี  สามารถประกอบกิจกรรมทางเศรษฐกิจได้อย่างสะดวกมากยิ่งขึ้น  และสมาชิก  ในชุมชนมีความรู้สึกเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน



 


จุดประสงค์หลักของอาเซียน
              ปฏิญญากรุงเทพฯ ได้ระบุวัตถุประสงค์สำคัญ 7 ประการของการจัดตั้งอาเซียน ได้แก่
              1.  ส่งเสริมความร่วมมือและความช่วยเหลือซึ่งกันและกันในทางเศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม เทคโนโลยี วิทยาศาสตร์ และการบริหาร
              2.  ส่งเสริมสันติภาพและความมั่นคงส่วนภูมิภาค
              3.  เสริมสร้างความเจริญรุ่งเรืองทางเศรษฐกิจพัฒนาการทางวัฒนธรรมในภูมิภาค
              4.  ส่งเสริมให้ประชาชนในอาเซียนมีความเป็นอยู่และคุณภาพชีวิตที่ดี
              5. ให้ความช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ในรูปของการฝึกอบรมและการวิจัย และส่งเสริมการศึกษาด้านเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
              6. เพิ่มประสิทธิภาพของการเกษตรและอุตสาหกรรม การขยายการค้า ตลอดจนการปรับปรุงการขนส่งและการคมนาคม
              7. เสริมสร้างความร่วมมืออาเซียนกับประเทศภายนอก องค์การ ความร่วมมือแห่งภูมิภาคอื่นๆ  และองค์การระหว่างประเทศ

ภาษาอาเซียน
              ภาษาทางการที่ใช้ในการติดต่อประสานงานระหว่างประเทศสมาชิก  คือ  ภาษาอังกฤษ
คำขวัญของอาเซียน
             
"หนึ่งวิสัยทัศน์ หนึ่งเอกลักษณ์ หนึ่งประชาคม”
            (One Vision, One Identity, One Community)

อัตลักษณ์อาเซียน
             อาเซียนจะต้องส่งเสริมอัตลักษณ์ร่วมกันของตนและความรู้สึกเป็นเจ้าของในหมู่ ประชาชนของตน  เพื่อให้บรรลุชะตา  เป้าหมาย  และคุณค่าร่วมกันของอาเซียน 




 
สัญลักษณ์อาเซียน
              คือ   ดวงตราอาเซียนเป็น
              รูปมัดรวงข้าว สีเหลืองบนพื้นวงกลม
              สีแดงล้อมรอบด้วยวงกลมสีขาว  และสีน้ำเงิน
              รวงข้าวสีเหลือง 10 ต้น หมายถึง ความใฝ่ฝันของบรรดาสมาชิกในเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ทั้ง 10 ประเทศ  ให้มีอาเซียนที่ผูกพันกันอย่างมีมิตรภาพและเป็นหนึ่งเดียว
              วงกลม  เป็นสัญลักษณ์แสดงถึงเอกภาพของอาเซียน
              ตัวอักษรคำว่า  asean  สีน้ำเงิน  อยู่ใต้ภาพรวงข้าว  แสดงถึงความมุ่งมั่นที่จะทำงานร่วมกันเพื่อความมั่นคง  สันติภพ  เอกภาพ  และความก้าวหน้าของประเทศสมาชิกอาเซียน
              สีเหลือง    :   หมายถึง ความเจริญรุ่งเรือง
              สีแดง       :    หมายถึง ความกล้าหาญและการมีพลวัติ
              สีขาว       :    หมายถึง ความบริสุทธิ์
              สีน้ำเงิน    :    หมายถึง สันติภาพและความมั่นคง
 

ธงอาเซียน
              ธงอาเซียนเป็นธงพื้นสี น้ำเงิน  มีดวงตราอาเซียนอยู่ตรงกลาง  แสดงถึงเสถียรภาพ  สันติภาพ  ความสามัคคี  และพลวัตของอาเซียน
สีของธงประกอบด้วย  สีน้ำเงิน  สีแดง  สีขาว  และสีเหลือง  ซึ่งเป็นสีหลักในธงชาติของบรรดาประเทศสมาชิกของอาเซียนทั้งหมด

วันอาเซียน
              ให้วันที่  8  สิงหาคม ของทุกปี เป็นวันอาเซียน
เพลงประจำอาเซียน (ASEAN  Anthem)
              คือ  เพลง  ASEAN  WAY
กฎบัตรอาเซียน
              กฎบัตรอาเซียน  กำหนดให้อาเซียนและประเทศสมาชิกปฏิบัติตามหลักการดังต่อไปนี้
              1.  เคารพเอกราช  อธิปไตย  ความเสมอภาค  บูรณภาพแห่งดินแดน  และอัตลักษณ์แห่งชาติของรัฐสมาชิกอาเซียนทั้งปวง
              2.  ผูกพันและรับผิดชอบร่วมกันในการเพิ่มพูนสันติภาพ  ความมั่นคง  และความมั่งคั่งของภูมิภาค
              3.  ไม่รุกรานหรือข่มขู่ว่าจะใช้กำลังหรือการกระทำอื่นใดในลักษณะที่ขัดต่อกฎหมายระหว่างประเทศ
              4.  ระงับข้อพิพาทโดยสันติ
              5.  ไม่แทรกแซงกิจการภายในของรัฐสมาชิกอาเซียน
              6.  เคารพสิทธิของรัฐสมาชิกทุกรัฐในการธำรงประชาชาติของตนโดยปราศจากการแทรกแซง  การบ่อนทำลาย  และการบังคับจากภายนอก
              7.  ปรึกษาหารือที่เพิ่มพูนขึ้นในเรื่องที่มีผลกระทบอย่างร้ายแรงต่อผลประโยชน์ร่วมกันของอาเซียน
              8.  ยึดมั่นต่อหลักนิติธรรม  ธรรมาภิบาล  หลักการประชาธิปไตยและรัฐบาลตามรัฐธรรมนูญ
              9.  เคารพเสรีภาพพื้นฐาน  การส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิมนุษยชน  และการส่งเสริมความยุติธรรมทางสังคม
              10.  ยึดถือกฎบัตรสหประชาชาติและกฎหมายระหว่างประเทศ    รวมถึงกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ  ที่  รัฐสมาชิกอาเซียนยอมรับ
              11.  ละเว้นจากการมีส่วนร่วมในการคุกคามอธิปไตย  บูรณภาพแห่งดินแดนหรือเสถียรภาพทางการเมืองและเศรษฐกิจของรัฐสมาชิกอาเซียน
              12. เคารพในวัฒนธรรม  ภาษา  และศาสนาที่แตกต่างของประชาชนอาเซียน
              13.  มีส่วนร่วมกับอาเซียนในการสร้างความสัมพันธ์กับภายนอกทั้งในด้านการเมือง  เศรษฐกิจ  และสังคม  โดยไม่ปิดกั้นและไม่เลือกปฏิบัติ
              14. ยึดมั่นในกฎการค้าพหุภาคีและระบอบของอาเซียน


ที่มา : http://www.lampangvc.ac.th/lvcasean/page_asean.htm